“พิชัย- รมว.พาณิชย์” เตรียมบินเจรจาสหรัฐ ปลายสัปดาห์นี้ คุยผู้ประกอบการ-เกษตรกรสหรัฐ ปูทาง เจรจาเชิงลึก
เมื่อวันที่ 14 เมษายน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่มีการสรุปประเด็นของคณะกรรมการติดตามมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกา ทั้งในส่วนกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย และผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ผู้ส่งออกและนำเข้าด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมว่า ในวันที่ 15 เมษายนนี้ คณะกรรมการจะสรุปผลทั้งหมด เพื่อวิเคราะห์ผลได้ ผลเสียและความเป็นไปได้ เพื่อเตรียมเป็นข้อมูลในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐ
จากนั้น นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พร้อมคณะผู้เจรจาจะเดินทางไปที่นครซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 17 เมษายนนี้ โดยคณะล่วงหน้าจะเดินทางไปพบกับนักธุรกิจในกลุ่มต่างๆ ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนด้านอื่น
จากนั้นในวันที่ 20 เมษายนนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ จะเดินทางไปร่วมกับคณะของนายพิชัย เป็นทีมไทยแลนด์ และคณะจะเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเตรียมเข้าพบกับผู้แทนของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันจันทร์ที่ 21 เมษายนนี้
นายจิรายุกล่าวว่า รัฐบาลไทยมีความพร้อมในการพูดคุยโดยข้อมูลทั้งหมดได้ถูกรวบรวมมาตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงปัจจุบัน ผ่านการประชุมหารือ ทั้งในส่วนของรัฐบาลและทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรวมทั้งภาคเอกชน อาทิ ผู้แทนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย ผู้แทนบริษัทธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรมและสินค้าทั้งหมดที่มีการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้ยุทธศาสตร์การเจรจาที่เน้น “สร้างความสมดุลทางการค้าและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” ทั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นการปูทางสู่การเจรจาเชิงลึกระหว่างไทย-สหรัฐ ในระดับต่างๆ ในโอกาสต่อไป
คณะเจรจายังมั่นใจว่าประเทศไทยจะมีทางออกที่ดีที่สุดในการค้าระหว่างประเทศครั้งนี้อย่างแน่นอน
สำหรับแนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าและมาตรการด้านภาษีของสหรัฐ ภายใต้ 5 หลักการดังนี้ 1.การเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่ไทยและสหรัฐ เกื้อหนุนกัน โดยรัฐบาลไทยเห็นว่าความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพร่วมกัน เช่น เกษตร-อาหาร และเทคโนโลยี ถือเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสองประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสัตว์เลี้ยง
ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตพรีเมียมเกรดและสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโลกได้มากขึ้น หากมีการเสริมวัตถุดิบจากสหรัฐ เช่น ข้าวโพด ที่มีต้นทุนต่ำและคุณภาพสูง 2.การเปิดตลาดและลดภาษี ลดอุปสรรคทางการค้าตาม National Trade Estimate 2025 ของสหรัฐ ซึ่งรัฐบาลพร้อมพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีนำเข้า และบริหารโควตาสินค้าเกษตรที่สหรัฐ มีความสามารถในการแข่งขัน เช่น ข้าวโพด เพื่อเปิดตลาดในลักษณะที่ไม่กระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยจัดสรรการนำเข้าเฉพาะช่วงที่สินค้าในประเทศขาดแคลน สร้างระบบการค้าที่เป็นธรรมและยืดหยุ่นต่อทุกฝ่าย
3.การเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐ ในสินค้าที่ไทยจำเป็นต้องใช้ โดยไทยเตรียมพิจารณานำเข้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ และวัตถุดิบที่ภาคอุตสาหกรรมต้องใช้แต่ผลิตไม่ได้เพียงพอ เช่น วัตถุดิบด้านปิโตรเคมี หรือเครื่องบินพาณิชย์ เพื่อเติมเต็ม supply chain ของประเทศ รวมถึงสินค้าที่ประเทศไทยเป็น Net Importer อาทิ ชีส ถั่ววอลนัท ผลไม้สดที่ไทยผลิตเองไม่ได้ เช่น เชอรี่ แอปเปิล ซึ่งจะเป็นการสร้างสมดุลด้านการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ ให้ลดการได้เปรียบดุลการค้า
4.การตรวจสอบเพิ่มความเข้มงวดสินค้าส่งออกไปสหรัฐ ป้องกันการสวมสิทธิจากประเทศที่สาม โดยรัฐบาลตระหนักถึงความกังวลของสหรัฐ เกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าราคาต่ำจากประเทศที่สามผ่านไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จึงจะมีมาตรการคัดกรองสินค้าต้นทาง ตรวจสอบแหล่งกำเนิดอย่างเข้มงวด และยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยให้โปร่งใสและเป็นไปตามหลักสากล สร้างความเชื่อมั่นในฐานะคู่ค้าที่มีธรรมาภิบาล
5.การส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐ ซึ่งนอกจากนำเข้าสินค้าจากสหรัฐแล้ว ไทยยังมีแผนผลักดันให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปในสหรัฐ โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ผลิตสินค้าส่งออกจากฐานการผลิตในอเมริกาไปยังตลาดโลก ซึ่งไม่เพียงช่วยกระจายความเสี่ยง แต่ยังช่วยลดแรงต้านด้านการค้าและสร้าง value chain ใหม่ที่เข้มแข็ง
นายจิรายุกล่าวว่า ในการประชุมหารือและได้ข้อสรุปในทุกประเด็นดังกล่าวแล้ว จะรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบทุกระยะซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้คณะเจรจาดำเนินการให้เต็มที่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายทั้งการค้าระหว่างประเทศและภาคธุรกิจเอกชนที่เป็นส่วนสำคัญในการนำผลิตภัณฑ์เมดอินไทยแลนด์ ไปสู่ตลาดสหรัฐและตลาดโลกต่อไป