กรมส่งเสริมสหกรณ์ แจงพร้อมช่วยเหลือสมาชิกเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมสหกรณ์การเกษตรแม่ทา
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม สังกัดสหกรณ์การเกษตรแม่ทา จำกัด จังหวัดลำพูน สุดจะทนกับปัญหาเดือดร้อนที่เกิดขึ้น และนัดรวมตัวกัน เทน้ำนมดิบทิ้ง ทวงถามค่าน้ำนมดิบจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) หลังค้างค่าน้ำนมดิบ ว่า กรมฯ ได้รับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์การเกษตรแม่ทา จำกัด แล้ว และได้สั่งการให้สหกรณ์จังหวัดลำพูน เร่งเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยเน้นย้ำให้วางแนวทางการบริหารจัดการน้ำนมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายน้ำนมได้มากที่สุด
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือในเบื้องต้น ได้มีการประสานความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เพื่อขอให้รับซื้อน้ำนมดิบจากสหกรณ์การเกษตรแม่ทา จำกัด ไปผลิตเป็นนมกล่อง UHT และให้สหกรณ์นำกลับมาจำหน่าย นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำน้ำนมดิบเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเป็นนมผง เพื่อช่วยระบายปริมาณน้ำนมดิบและยืดอายุการเก็บรักษา โดยกรมฯ จะจัดสรรเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์เข้ามาช่วยเหลือ พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนมรายอื่นๆ ให้เข้ามารับซื้อน้ำนมตามนโยบายของนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่บริษัทเอกชนอ้างว่ากรมส่งเสริมสหกรณ์มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การรับซื้อน้ำนมโค จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ได้นั้น กรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารนมทั้งระบบ ขอชี้แจงว่า ประเด็นที่บริษัทเอกชนมีความกังวลนั้น คาดว่าจะเป็นหลักเกณฑ์ในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ปีการศึกษา 2568 ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ
ดังนั้น การที่บริษัทเอกชนปฏิเสธการรับซื้อน้ำนมดิบ จึงถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามประกาศหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจัดทำ MOU ที่กำหนดให้ผู้ซื้อและผู้ขายที่ต้องการยกเลิก MOU จะต้องทำหนังสือยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร และหาผู้ซื้อรายใหม่เพื่อรับผิดชอบน้ำนมดิบของเกษตรกรให้ครบ 365 วัน พร้อมทั้งแจ้งเหตุผลประกอบ ซึ่งหากเกิดกรณีไม่ปฏิบัติตาม MOU ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบสามารถดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของตลาดและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐจำเป็นต้องเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาในระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอาชีพของเกษตรกรและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศ