“เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ หุ้นไทยฟื้นตัวจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน”
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยมีแรงหนุนจากสถานะซื้อสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ (และแรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยในช่วงท้ายๆ สัปดาห์) ขณะที่ สกุลเงินเอเชียบางสกุลและสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้น สอดคล้องกับทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก นอกจากนี้ ยังมีแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งคาดว่า บางส่วนอาจมาจากทางฝั่งผู้ค้าทองคำในประเทศ อย่างไรก็ดี ภาพรวมการเคลื่อนไหวของเงินบาทตลอดสัปดาห์ ยังคงเป็นไปในกรอบแคบๆ
สำหรับในวันศุกร์ (26 ก.พ.) เงินบาทอยู่ที่ 35.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 35.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 ก.พ.)
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (29 ก.พ.-4 มี.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 35.55-35.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยอาจต้องจับตาเครื่องชี้เศรษฐกิจและตัวเลขเงินเฟ้อของไทย ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนก.พ. ยอดสั่งซื้อของโรงงาน ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย รายจ่ายด้านการก่อสร้าง ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนม.ค. และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) ของเฟด นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามรายงานตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศของจีน อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซน และดัชนี PMI ภาคการผลิต/บริการของจีน และประเทศอื่นๆ เดือนก.พ. ด้วยเช่นกัน
ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ฟื้นตัวจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,343.07 จุด เพิ่มขึ้น 1.73% จากสัปดาห์ก่อน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 4.01% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 44,018.71 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 499.88 จุด เพิ่มขึ้น 0.34% จากสัปดาห์ก่อน
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ โดยได้รับอานิสงส์จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันได้หนุนนำให้หุ้นกลุ่มพลังงานฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนได้ทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง หลังผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาค่อนข้างดี ประกอบกับมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มสื่อสาร หลังธนาคารเตรียมพร้อมที่จะสนับสนุนเงินกู้เพื่อชำระค่าใบอนุญาต 4จี
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (29 ก.พ.- 4 มี.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีมีแนวรับที่ 1,330 และ1,315 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,355 และ 1,365 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ การประชุม G20 รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจไทยรายเดือนสำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนี ISM ภาคการผลิต ปริมาณน้ำมันคงคลัง และเครื่องชี้ตลาดแรงงาน ซึ่งรวมถึงการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และอัตราการว่างงาน สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ที่ต้องติดตาม คงได้แก่ การรายงานดัชนี PMI ของจีนและยูโรโซน รวมทั้ง ข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซน
