อสังหาฯภูเก็ต ท็อปฟอร์มแซงหน้าทุกจังหวัด ไตรมาสแรก แห่เปิด 5.4 หมื่นล้าน ที่ดินแพงขึ้น 10.7%
จับสัญญาณตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังไม่ฟื้นตัว ซึมไข้เศรษฐกิจฝืด กำลังซื้อเหือดแห้ง แผ่นดินไหวและภาษีทรัมป์ถล่มซ้ำ แต่ในวิกฤตว่ากันว่ามีจังหวัดเดียวที่ตลาดดูดีแบบสวนทาง นั้นคือ ภูเก็ต ได้ปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยวและลูกค้าต่างชาติ ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยภูเก็ตเป็นบ้านหลังที่2 ประกอบกับภูเก็ตเป็นหมุดหมายการท่องเที่ยวระดับโลกเทียบชั้นฮาวายและดูไบ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ เข้าไปพัฒนาโครงการรองรับดีมานด์กันจำนวนมาก
มีผลสำรวจล่าสุดจาก”โสภณ พรโชคชัย” ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด(AREA) ระบุว่า ตลาดอสังหาฯภูเก็ตยังเติบโต เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรุงเทพฯหรือเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศโดยตรง แต่ขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
Q1เหลือขาย 1 หมื่นหน่วย
โดยพบว่าไตรมาสแรกของปี 2568 มีโครงการอสังหาฯที่ขายอยู่ในท้องตลาดจังหวัดภูเก็ต รวมกันถึง 728 โครงการ รวมหน่วยขาย 72,000 หน่วย มีมูลค่าการพัฒนาถึง 460,000 ล้านบาท ขายไปแล้ว 62,000 หน่วยและเหลือขายอีก 10,000 หน่วย
สำหรับโครงการครึ่งหนึ่งอยู่”เขตอำเภอถลาง”มีจำนวน 32,000 หน่วย ขายได้แล้ว 25,000 หน่วย ยังเหลือขาย 7,000 หน่วย ส่วน”อำเภอเมือง” มี 190 โครงการ รวม 28,000 หน่วย ขายไปแล้ว 26,000 หน่วย เหลือขาย 1,200 หน่วย อำเภอที่มีจำนวนโครงการน้อยที่สุดคือ”อำเภอกระทู้” มีเพียง 70 โครงการ จำนวน 12,000 หน่วย ยังเหลือขายอยู่ 700 หน่วย
ส่วนประเภทสินค้าที่มีขายอยู่ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว ห้องชุดพักอาศัย ที่ดินจัดสรร อาคารชุดตากอากาศและวิลล่าหรือบ้านตากอากาศ
คอนโด-วิลล่าตากอากาศฮิต
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า 1.อสังหาฯส่วนใหญ่เป็นเพื่อการพักผ่อน ได้แก่ ห้องชุดตากอากาศและวิลล่าหรือบ้านตากอากาศ มีถึง 320,000 ล้านบาท ค่าการพัฒนาทั้งหมดที่ 470,000 ล้านบาท หรือราว 2 ใน 3 ของทั้งหมด ส่วนที่อยู่อาศัยเป็นที่อยู่ของคนในท้องถิ่น หรือคนไทยต่างถิ่นที่มาทำงานในภูเก็ต เป็นเพียงอสังหาริมทรัพย์ส่วนน้อย
2. เฉพาะห้องชุดตากอากาศ มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุด 210,000 ล้านบาท ประมาณ 45% ของทั้งหมด โดยมี 130 โครงการ จำนวน 27,000 หน่วย ยังมีเหลือขาย 4,500 หน่วย ในแต่ละเดือนขายได้ 7.2% ถือว่าสูงมาก คาดว่าจะขายหมดใน 14 เดือนข้างหน้า
3.จำนวนโครงการมากที่สุดคือ วิลล่าหรือบ้านตากอากาศ มีอยู่ 149 โครงการ แต่ยังมีเหลือเพียง 3,300 หน่วย ในโครงการหนึ่งมีเพียง 22 หลัง เฉลี่ยหลังละ 36 ล้านบาท เป็นโครงการขนาดเล็ก ยังเหลือขาย 1,200 หลัง แสดงว่าขายได้แล้ว 60% และเดือนหนึ่งขายได้ 7% ของหน่วยขาย คาดว่าจะขายหมดในเวลา 14 เดือนข้างหน้า
4. ส่วนห้องชุดพักอาศัยทั่วไปมีอยู่ 50 โครงการ รวม 17,000 หน่วย เฉลี่ยโครงการหนึ่งมี 340 หน่วย ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของห้องชุดที่ขายสำหรับคนในท้องถิ่นหรือคนไทยที่มาทำงานในภูเก็ตเป็นสำคัญ มีราคาเฉลี่ย 2.4 ล้านบาทต่อหน่วย ยังเหลือค้างอยู่ 1,300 หน่วย หากคิดเป็นสัดส่วนของมูลค่าการพัฒนาซึ่งอยู่รวมกันจำนวน 40,000 ล้านบาท ก็เป็นสัดส่วน 9% ของค่าการพัฒนาทั้งหมด 460,000 ล้านบาท แต่ละเดือนขายได้ 7% คาดว่าจะขายได้หมดอีก15 เดือนข้างหน้า
5.ส่วนบ้านเดี่ยวมี 85 โครงการ รวม 6,700 หน่วย มีมูลค่าการพัฒนา 39,000 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 5.7 ล้านบาท ยังเหลือขาย 1,100 หน่วย แต่อัตราการขายค่อนข้างต่ำเดือนละ 2.2% คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 4 ปี จะขายได้หมด
6.เป็นที่น่าแปลกว่าบ้านแฝดมีจำนวนเกือบเท่าบ้านเดี่ยว แต่มีมูลค่าการพัฒนาเพียง 23,000 ล้านบาทหรือประมาณ 5% ของการพัฒนาทั้งหมด มีราคาเฉลี่ย 3.5 ล้านบาท แต่มีจำนวนเหลือขายอยู่เพียง 500 หน่วย และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกราว 3 ปีครึ่งจึงจะหมด
7. มีทาวน์เฮาส์ถึง 100 โครงการ รวม 10,000 หน่วย แต่เหลือขายเพียง 700 หน่วย มีมูลค่าการพัฒนาโดยรวม27,000 ล้านบาท หรือ 6% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด มีราคาเฉลี่ย 2.7 ล้านบาทต่อหน่วย มีอัตราการขายเดือนละ 3.1% และใช้เวลาขายราว 2ปีครึ่งจะหมด
เปิดใหม่ 25 โครงการ 5.4หมื่นล้าน
สำหรับโครงการเปิดตัวใหม่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีเปิดตัวใหม่ 25 โครงการ รวม 4,000 หน่วย มีมูลค่ารวม 54,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยหน่วยละ 13 ล้านบาท สินค้าส่วนใหญ่ที่เปิดคือ ห้องชุดตากอากาศถึง 45,000 ล้านบาท หรือ 83% ของทั้งหมด และแทบทั้งหมด ของการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสแรกนี้ เปิดในอำเภอถลาง
นอกจากนี้ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา อสังหาฯในภูเก็ตขายได้ประมาณ 10,000 หน่วย รวมมูลค่า 90,000 ล้านบาท หรือขายเฉลี่ยหน่วยละ 9 ล้านบาท โดยมากขายในเขตอำเภอถลาง และสินค้าที่ขายได้เร็วมาก เป็นห้องชุดตากอากาศและวิลล่า ส่วนที่อยู่อาศัยของคนไทยเองกลับขายได้ช้ากว่า
ราคาที่ดินเพิ่มปีละ 10.7%
สำหรับ ”ราคาที่ดิน” ในภูเก็ต นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึง 2567 ราคาที่ดินเพิ่มเฉลี่ย 7.47 เท่า หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10.7% ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับราคาที่ดินในบริเวณอื่นของประเทศไทย ที่ราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ”หาดราไว”โดยเพิ่มขึ้นถึง 14 เท่า รองลงมาคือ”หาดบางเทา”เพิ่มขึ้น 10.67 เท่าและหาดไม้ขาวเพิ่มขึ้น 9 เท่า ส่วนที่เพิ่มขึ้นช้าได้แก่ เอาสปำ หาดกะรน และเกาะสิเหร่
โดยราคาที่ดินตามราคาตลาดสูงสุด อยู่ที่”หาดป่าตอง” ราคา 350 ล้านบาทต่อไร่หรือ 875,000 บาทต่อตารางวา รองลงมาหาดบางเทา หาดสุรินทร์และหาดกะรน ราคา 80 ล้านบาทต่อไร่หรือตารางวาละ 200,000 บาท