‘อธิบดีพรยศ’กางภารกิจ ขจัดมลพิษตกค้าง-ปราบอุตฯศูนย์เหรียญ คืนเศรษฐกิจสีเขียว

อธิบดีพรยศ

ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับคลื่นแห่งความผันผวนที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งสงครามการค้า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่มาแรงในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

“มติชน” สัมภาษณ์พิเศษ นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ถึงภารกิจการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย ที่กำลังเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายประการ

อธิบดีพรยศเปิดบทสนทนาถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมไทยว่า ระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ ภาคการผลิตของประเทศต้องเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายประการ เช่น ปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม เกิดการรั่วไหลแพร่กระจายของสารมลพิษเป็นพื้นที่ปนเปื้อน สร้างความเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นวงกว้าง

ปัจจุบันประเทศไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ในรูปแบบ “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” ซึ่งนอกจากจะไม่สร้างประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจไทยแล้วยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อธุรกิจของไทย รวมทั้งทำให้ชีวิตคนไทยต้องตกอยู่ในอันตรายจากมลพิษที่เกิดขึ้นอีกด้วย

“กระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ประกาศใช้นโยบาย ‘สู้ เซฟ สร้าง’ ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก” อธิบดีพรยศระบุ

ADVERTISMENT

อธิบดีพรยศระบุอีกว่า จากปัญหาที่คาราคาซังในอดีต ประกอบกับความท้าทายใหม่ ผนวกกับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตตามแนวนโยบายของรัฐบาล กรมโรงงานจึงได้กำหนดทิศทางและกางแผนภารกิจใหม่ ภายใต้แนวคิด “แก้ปัญหาเก่าด้วยวิธีการใหม่ พร้อมเผชิญความท้าทายใหม่ด้วยประสบการณ์และอัพเกรดด้วยเทคโนโลยี”

โดย กรอ.จะทำงานเชิงรุกต่อเนื่องเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาเดิมในอดีต โดยเฉพาะการฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนสารมลพิษ พร้อมทั้งเปิดเกมรุก รับความท้าทายใหม่ในปัจจุบัน ปราบทุนเทาอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ คืนพื้นที่เพิ่มแต้มต่อให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมสีเขียว มุ่งสร้างอนาคตอุตสาหกรรมเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ดังนี้

1.ทำงานเชิงรุกต่อเนื่องเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาเดิมในอดีต เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กรอ.ตรวจพบปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมออกสู่สิ่งแวดล้อมและพื้นที่สาธารณะในหลายพื้นที่ ทั้งในจังหวัดระยอง พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา ราชบุรี และเพชรบูรณ์ สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นวงกว้าง

ที่ผ่านมา กรอ.ได้บรรเทาผลกระทบความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนไปบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสารเคมีอันตรายคงอยู่ในหลายพื้นที่ กรอ.พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จะยกระดับพัฒนาอุตสาหกรรมให้เติบโตไปข้างหน้าได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งสะสางปัญหาที่คาราคาซังดังกล่าว

กรอ.ได้กำหนดภารกิจดังกล่าวเป็นแผนงานสำคัญลำดับต้นๆ โดยทุ่มทุกสรรพกำลังและความเชี่ยวชาญที่ กรอ.มีภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลที่จัดสรรงบประมาณเพื่อทำการบำบัดกำจัดสารเคมีอันตรายและพื้นฟูสภาพพื้นที่ที่สะอาดกลับคืนให้แก่พี่น้องประชาชนให้เร็วที่สุดกว่า 134 ล้านบาท ในปี 2568 และคำของบประมาณอีกกว่า 140 ล้านบาท ในปี 2569

2.เปิดเกมรุกรับความท้าทายใหม่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ 2 คำที่เรามักได้ยินติดหูในปัจจุบันคือ “ทุนเทา” และ “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติรุกคืบเข้าซื้อ หรือเช่าซื้อเพื่อลงทุนประกอบกิจการโรงงานในประเทศไทย โดยการจ้างแรงงานต่างชาติ อีกทั้งยังไม่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศหรือใช้เป็นเพียงส่วนน้อย เป็นลักษณะของการผลิตสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานเพื่อลักลอบจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกเพื่อการหลบเลี่ยงภาษีโดยการสวมสิทธิเป็นสินค้า Made in Thailand

“นอกจากจะไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศแล้ว กลุ่มทุนเทาดังกล่าวมักมีการฝ่าฝืนกฎระเบียบภาครัฐ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย มีการลักลอบประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือลักลอบนำเข้ากากอุตสาหกรรมหรือวัตถุอันตรายโดยการฝ่าฝืนอนุสัญญาบาเซล สร้างมลพิษตกค้างปนเปื้อนในหลายพื้นที่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า” อธิบดีพรยศระบุ

อธิบดีพรยศระบุ กรอ.จึงปรับบทบาทเชิงรุก เปิดเกมรุกบูรณาการทำงานร่วมกับทีมตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง บู๊หนัก ลุยปราบปรามกลุ่มทุนเทาและอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอย่างถึงลูกถึงคน

โดยการปรับรูปแบบและกระบวนการทำงานใหม่ ยกระดับการตรวจกำกับโรงงานจากเดิมที่โฟกัสเพียงมิติสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ขยายกรอบไปสู่การตรวจกำกับภาคการผลิตในมิติของเศรษฐกิจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น การผลิตสินค้าตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ การจ้างงาน การป้องกันการสวมสิทธิเพื่อการส่งออก โดยจะลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด ไม่ให้เอาเปรียบผู้ประกอบการที่ดีต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ กรอ.ยังมีแผนอัพเกรด นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการยกระดับการกำกับดูแลการประกอบกิจการโรงงานที่ทันสมัย นำระบบ IoT (Internet of Things) มาใช้ในการตรวจสอบและควบคุมกระบวนการผลิตอย่างแม่นยำ เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบทะเบียนลูกค้ากระทรวงอุตสาหกรรม หรือ i-industry ที่มีการจัดทำทะเบียนประวัติการประกอบกิจการ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงประวัติและสถานะของโรงงานได้

โดย กรอ.จะใช้ระบบ AI (Artificial Intelligence) และ ML (Machine learning) วิเคราะห์ข้อมูลและประเมินความเสี่ยงล่วงหน้า ประกอบกับการพัฒนาระบบบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการอนุมัติอนุญาตโดยการนำ AI เข้ามาช่วยในการพิจารณาเพื่อลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ GIS (Geographic Information System)

รวมทั้งจัดโซนพื้นที่ (Zoning) เพื่อการเฝ้าระวังควบคู่กับการพัฒนาระบบติดตามการขนส่งกากอุตสาหกรรมและของเสียสารเคมีอันตราย (GPS Tracking System) และระบบการแจ้งเตือนเหตุการณ์ที่ผิดปกติ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินตลอดการขนส่ง เพื่อให้สามารถติดตามเหตุการณ์และควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ยกระดับความปลอดภัย ป้องปรามการกระทำผิดกฎหมาย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ

3.เพิ่มแต้มต่อให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมสีเขียว ปัจจุบันพบว่า Pain Point สำคัญของภาคการผลิตไทยคือผู้ประกอบการที่ดีสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันจากกลุ่มทุนเทาและอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ ปี 2568 กรอ.จึงปฏิรูปทั้งระบบ ปรับกลไกการออกใบอนุญาตและการตรวจสอบโรงงานอย่างเข้มข้น เพิ่มแต้มต่อ ถ่างช่องว่าง อำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการดีหรือผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมสีเขียวทุกช่องทาง พร้อมขึ้นบัญชี Blacklist ผู้ประกอบการประวัติไม่ดี ตรวจสอบและดำเนินคดีอย่างเข้มข้น

นอกจากนี้ กรอ.ยังเร่งปรับปรุงกฎระเบียบ และขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม ยกระดับให้เกิดการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานขั้นสูง ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ผ่านกลไกการจับมือกับผู้ประกอบการทุกระดับ ตั้งแต่เอสเอ็มอีจนถึงผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

รวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่ครอบคลุมในทุกมิติ ไม่ว่าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้มีการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงกระบวนการจากการรับจ้างการผลิตไปสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์ที่มีการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีความลงตัวกับกติกาสากล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างยั่งยืน

“ทั้งหมดนี้เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการสร้างอนาคตอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสีเขียวของไทยให้เติบโตได้อย่างสมดุล” อธิบดีพรยศทิ้งท้าย