“เงินบาทกลับมาอ่อนค่า หลังแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 20 เดือน ขณะที่ ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย”
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 20 เดือนที่ 34.28 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนกลับมาอ่อนค่าลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติที่ยังคงมีต่อเนื่องในช่วงต้นสัปดาห์ แต่เริ่มลดช่วงบวกและทยอยอ่อนค่าลงตั้งแต่ในช่วงกลางสัปดาห์ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ฟื้นตัวขึ้น โดยมีแรงหนุนจากตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ และบันทึกการประชุมเฟดที่มีการระบุถึงโอกาสของการปรับลดงบดุลของเฟดในช่วงที่เหลือของปีนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ เงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคยังถูกกดดันเพิ่มเติมในช่วงท้ายสัปดาห์จากข่าวสหรัฐฯ โจมตีซีเรีย
สำหรับในวันศุกร์ (7 เม.ย.) เงินบาทอยู่ที่ 34.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 34.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (31 มี.ค.)
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (10-12 เม.ย.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 34.50-34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยจุดสนใจในช่วงต้นสัปดาห์ น่าจะอยู่ที่การตอบรับของตลาดต่อตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ รวมถึงผลการหารือระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจีน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมี.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนเม.ย. นอกจากนี้ นักลงทุนอาจรอประเมินข้อมูลการส่งออกและตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ในเดือนมี.ค.ของจีนด้วยเช่นกัน
ส่วนดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นเล็กน้อย โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,583.53 จุด เพิ่มขึ้น 0.53% จากสัปดาห์ก่อน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 4.57% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 37,519.23 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 596.08 จุด ลดลง 0.23% จากสัปดาห์ก่อน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นเล็กน้อย โดยได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวในภาพรวม ยังคงเป็นกรอบแคบๆ เนื่องจากตลาดยังคงรอปัจจัยใหม่ๆ มากระตุ้น ประกอบกับหุ้นใหญ่หลายตัวขึ้น XD และตลาดหุ้นในภูมิภาคมีปัจจัยลบเพิ่มเติมในช่วงปลายสัปดาห์จากเหตุสหรัฐฯ โจมตีซีเรีย
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (10-12 เม.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,560 และ 1,540 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,595 และ 1,615 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ ผลการพบปะระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประธานาธิบดีจีน และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ส่วนปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษ และตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของจีน