ผู้เขียน | ทีมข่าวเศรษฐกิจ |
---|
ยังคงเป็นที่จับตา ท่าทีของ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ในการหาทางลง-ทางออก ฝ่าวิกฤตการเมืองที่อุณหภูมิกำลังปะทุจุดเดือด จากคลิปเสียง “ฮุน เซน” พ่นพิษ ผสมโรงการถอนยวงของ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ทิ้งทุ่นกลางทาง ทำให้รัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทย จัดทัพโผ “ครม.อิ๊งค์ 2” ท่ามกลางเสียงปริ่มน้ำ วิกฤตซับซ้อนทั้งเกมการเมืองและเศรษฐกิจขาลง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าจากปมร้อน กำลังต้อน “รัฐบาลแพทองธาร” เผชิญวิกฤตศรัทธาและวิกฤตความเชื่อมั่นถาโถมอย่างหนัก แม้ว่า “นายกฯแพทองธาร” จะออกมาแสดงจุดยืน “ไม่ลาออก-ไม่ยุบสภา” ก็ตาม
แล้วทางออกของประเทศและทางรอดของเศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน ภาคธุรกิจสะท้อนเป็นเสียงเดียวกัน “ทางออกมีไม่กี่ทาง” อยู่ที่ฝ่ายการเมืองจะกดเลือกลงทางไหนเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจและเสถียรภาพการเมืองของประเทศ ที่มองไปข้างหน้าแทบไม่มีความหวังและแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรธุรกิจก็ยังต้องไปต่อ
⦁‘นักเศรษฐศาสตร์’สแกน 3 จุดเสี่ยง
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาเสถียรภาพการเมืองมี 3 ด้าน 1.ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค โดยเฉพาะจากต่างชาติ 2.ด้านงบประมาณปี 2569 ที่อาจล่าช้า และ 3.การเจรจาการค้ากับสหรัฐและอาจกระทบการเจรจากับประเทศอื่นๆ ล้วนนำไปสู่ความเสี่ยงเศรษฐกิจขาลง หรือเศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่คาดไว้ในปี 2568 จะโต 1.8%
เนื่องจากไม่ว่าผลทางการเมืองจะออกมาอย่างไรย่อมส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่า “กรณียุบสภา” เลือกตั้งใหม่ แม้เป็นทางออกดีที่สุดต่อเศรษฐกิจในระยะกลาง เพราะจะสลายความไม่ชัดเจน ความไม่แน่นอน แต่ในระยะสั้นอาจกระทบเศรษฐกิจไทยแรงจากความล่าช้าของงบประมาณที่อาจจะออกมาใน 9-12 เดือนหลังยุบสภา โดยเฉพาะภาคก่อสร้างจะกระทบแรงสุด เพราะงบลงทุนใหม่จะหยุด ขณะที่การก่อสร้างเอกชนน่าจะทรุดยาว ส่วนการเจรจากับสหรัฐจะหยุด เพราะรอผู้มีอำนาจเต็มที่ ความเชื่อมั่นน่าจะทรงๆ คนก็ wait and see ว่าใครจะเป็นรัฐบาล รอดูนโยบายกันใหม่
“กรณีเปลี่ยนขั้ว” หรือนายกฯลาออก จับมือพรรคฝ่ายค้าน หรือชื่อนายกฯมาจากพรรคร่วมเดิม รัฐบาลอยู่ได้ การบริหารทำได้ แม้เป็นทางเลือกที่ดีต่อเศรษฐกิจระยะสั้น การขับเคลื่อนด้านงบประมาณทำได้ดีต่อเนื่อง แต่ต้องระวังความเชื่อมั่นอาจไม่กลับมาได้เร็ว เพราะเสถียรภาพอาจดี แต่เปราะบาง ส่วน “กรณีนายกฯอยู่ต่อ” ปรับพรรคร่วมให้ได้เสียงข้างมากเกินครึ่ง น่ากำลังเป็นความพยายามให้ออกมาทางนี้ แม้จะดูดี ต่อเนื่อง แต่ยังต้องเผชิญกับวิกฤตศรัทธา
“เศรษฐกิจไทยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ด้านต่างประเทศเจอสงครามการค้า เฟด พรมแดนกัมพูชา ศึกในเจอปัญหาการเมือง กำลังซื้ออ่อนแอ ความเชื่อมั่นต่ำ ภาคการท่องเที่ยวที่วันนี้ไม่ใช่เป็นเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ดีเหมือนเดิมและอาจย่ำแย่ไปอีก ทางรอดเศรษฐกิจไทยมีหลายทาง เฉพาะหน้าคือ เร่งทำความชัดเจนเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นที่ยอมรับของประชาชน ดีสุดคือนายกฯ ไม่ว่าจะอยู่ต่อ หรือเปลี่ยนใหม่ อย่างน้อยให้งบประมาณผ่าน มีคนเจรจาภาษีทรัมป์” อมรเทพย้ำ
ทั้งยังคาดด้วยว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 1.50% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงขยายตัวต่ำกว่าคาด เงินเฟ้อต่ำลากยาว สินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง หนี้ครัวเรือนยังเป็นปัญหา หนี้เสียเริ่มขยับและน่าจะลดอีกครั้งในเดือนสิงหาคม เหลือ 1.25% แต่หากมีปัญหาเศรษฐกิจหนักขึ้น คาดว่าดอกเบี้ย 1.25% ก็เอาไม่อยู่ลุ้นต้องลดมากกว่านี้
⦁รักษาสภาพคล่องรับ‘ศก.ฮาร์ดแลนดิ้ง’
ขณะที่ ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย ระบุว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเผชิญ The great perfect storm (พายุใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบ) มีปัจจัยเข้ามาพร้อมกันหมดในช่วง 6 เดือนนี้ ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก จึงเป็นการยากที่เศรษฐกิจปีนี้จะโตถึง 2% กว่าเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวต้องใช้เวลา 1-2 ปี ขณะที่ภาคเอกชนก็ต้องประคับประคองธุรกิจ รัดเข็มขัด รักษาสภาพคล่อง เพื่อรองรับการฮาร์ดแลนดิ้งของเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอยอยู่แล้ว จะถดถอยหนักมากขึ้น เราไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในแต่ละวัน อีก 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า สิ่งสำคัญที่สุดคือ สภาพคล่องและระบบแบงก์ก็ต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้นสำหรับการปล่อยกู้ เนื่องจากตลาดหุ้นกู้หมดความเชื่อมั่นไปแล้ว
“ใน 6 เดือนนี้ทุกปัจจัยเข้ามารุมเร้าพร้อมกันหมด ทั้งภัยธรรมชาติ เศรษฐกิจโตต่ำ หนี้ครัวเรือนสูง สงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุดความไม่แน่นอนของการเมืองไทยที่กระทบต่อความเชื่อมั่น ยังมีปัจจัยภายนอกและเศรษฐกิจโลก ล้วนเป็นภาวะที่ไม่เคยเจอ แต่ยังดีที่เอกชนเตรียมรับมือ ระมัดระวังการขยายธุรกิจเพื่อรักษาสภาพคล่อง ไม่งั้นคงแย่กว่านี้”
ถามว่า “ทางรอดเศรษฐกิจไทย” อยู่ตรงไหน “ประเสริฐ” สะท้อนว่า เฉพาะหน้าต้องเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ เร่งจัดตั้ง ครม.ใหม่เพื่ออนุมัติงบประมาณปี 2569 ให้ออกมาประคองเศรษฐกิจ ถ้าไม่มีงบออกมาเศรษฐกิจไทยแย่แน่ๆ เพราะกำลังของเอกชนก็อ่อนแรง หากกำลังภาครัฐอ่อนแรงด้วยก็ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจ ส่วนระยะยาวต้องปรับโครงสร้างการเมือง คัดคนมีฝีมือ เก่ง และซื่อสัตย์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีและบริหารประเทศ รวมถึงปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนประเทศให้สามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ ส่วนสถานการณ์การเมืองหลังปรับ ครม.และผ่านงบประมาณปี 2569 แล้ว คงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหลังเดือนกันยายนนี้
⦁แนะการเมืองต้องนิ่ง-เร่งรีแบรนด์ปท.
ด้าน อธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ประเมินว่า ทางรอดเศรษฐกิจไทย ภาครัฐต้องร่วมมือกับเอกชนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจใหญ่โตและเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ต้องทำงานร่วมกันเป็นรายเซ็กเตอร์ เพื่อทำให้การทำงานเกิดความเข้าใจและรวดเร็ว ถ้าทำได้ผมว่ามีทางรอด อีกวิธีคือ ต้องเกลี่ยเงินบางส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น อย่าใช้เงินจำนวนมากหมดกับโครงการไม่เกิดประโยชน์ ต้องกระจายโครงการ รวมถึงต้องมีกลไกนำคีย์เพลเยอร์ของแต่ละเรื่องมาร่วมกัน เช่น ดึงแบงก์มาปล่อยกู้เอกชนและเอสเอ็มอี เพื่อให้เขาขยับตัวได้ โดยรัฐช่วยค้ำประกันและร่วมรับความเสี่ยง เพื่อให้เกิดหนี้เสียน้อยที่สุดและให้ธุรกิจเดินต่อได้
“ตอนนี้รัฐบาลเปรียบเสมือนคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินที่จะไปทำอะไรเพิ่มได้เพราะติดเพดานหนี้สาธารณะ ถ้ายอมขยายเพดานหนี้จะทำให้กู้ได้เพิ่ม เพราะคนที่มีเงินคือแบงก์ ไม่กล้าปล่อยกู้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยต้องคุยกับแบงก์พาณิชย์ หากทุกคนมองเป้าหมายเหมือนกัน คือการเติบโตและการรักษาเสถียรภาพการเงินที่ต้องไปด้วยกัน” อธิปแนะ
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ “อธิป” มองว่า เลวร้ายสุดคาดว่าจะโต 1.5-2% ถ้าจะให้โตมากกว่า 2% ต้องมีอะไรที่ชัดเจน เช่น ทรัมป์บอกว่าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงสำหรับประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ภาคการส่งออกของไทยไปสหรัฐดีขึ้น แต่จะมีปัญหาเรื่องการสวมสิทธิตามมา ส่วนงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ด้วยการกระจายในหลายโครงการ จึงไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่ก็ดีกว่าไม่มีมาตรการอะไรออกมาเลย
สถานการณ์การเมืองที่กำลังมีการปรับ ครม.ใหม่ ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐมนตรีมีผลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติอย่างแน่นอน ซึ่งคงหนีไม่พ้นจะมาจากฝ่ายการเมือง ยกเว้นกระทรวงการคลังที่น่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนเพราะเป็นหัวใจสำคัญ อีกทั้งคงเป็นไปได้ยากที่คนนอกจะเข้ามาภายใต้สถานการณ์การเมืองที่สั่นคลอนในปัจจุบัน
สำหรับ “ภาคธุรกิจ” ภายใต้หลายปัจจัยที่มากระทบ ขอให้การเมืองนิ่งๆ เพราะเอกชนเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่มีความกังวลว่าเมื่อปรับ ครม.แล้วจะทำให้นโยบายเดิมสะดุด ไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว เพราะปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติลดลงไปอย่างมาก รวมถึงภาคการส่งออกที่แนวโน้มในครึ่งปีหลังคำสั่งซื้อจะลดลงอย่างมากจากผลกระทบของภาษีทรัมป์ ขณะที่การลงทุนเมกะโปรเจ็กต์อาจจะชะลอและการบริโภคภายในประเทศจะหดตัวลงไปเรื่อยๆ
“เดิมเรามีกระสุนมากกว่านี้ แต่เอาไปใช้หมด กระสุนเลยเหลือน้อย ทำให้แรงแผ่ว เหลือแค่งบรัฐ ต้องกระตุ้นการลงทุนของเอกชนไทยและต่างชาติเพิ่ม แต่ต้องสร้างบรรยากาศลงทุน เพิ่มสิทธิพิเศษ เหมือนเช่นเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่ดึงนักลงทุนเข้าไปจำนวนมาก ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ อุปโภคบริโภคต่างๆ ถ้าไทยจะกระชากนักลงทุนกลับต้องทำให้เขาเห็นจุดแข็งของเราที่มีหลายอย่าง เช่น อินฟราสตรัคเจอร์ดีกว่า พลังงานมีเสถียรภาพ แรงงานมีทักษะ สภาพแวดล้อมการอยู่อาศัย และการกินดี ส่วนค่าแรงที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ก็ต้องมีมาตรการจูงใจให้เขา เช่น หักภาษีได้ 2 เท่า ถ้าทำได้จะสามารถรีแบรนด์ประเทศไทยให้กลับมาเป็นแหล่งผลิตสินค้าได้” อธิปกล่าวย้ำ
⦁‘รับเหมา’หวั่นงบ-งานประมูลชะงัก
ส่วนภาคการก่อสร้าง ลิซ่า งามตระกูลพานิช นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มองว่า ภายใต้สถานการณ์รุมเร้า อยากให้ฝ่ายการเมืองเลือกทางออกที่ดีที่สุดกับประเทศ โดยไม่กระทบเศรษฐกิจ สำหรับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองในขณะนี้ ทางสมาคมมีความกังวลคือ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎร หากมีการยุบสภาจะทำให้การอนุมัติงบล่าช้าออกไป กระทบเศรษฐกิจของประเทศในสาระสำคัญ และกระทบต่อผู้ประกอบการก่อสร้างอย่างมาก
โดยเฉพาะปี 2568 ที่เศรษฐกิจไม่ดีอย่างมาก ภาครัฐจำเป็นต้องหาทางใส่เม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจให้ได้เร็วที่สุด และเนื่องจากซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมก่อสร้างมีขนาดใหญ่ ถ้ามีงานก่อสร้างออกมา ภาครัฐก็สามารถหมุนเงินใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจได้เร็วและตรง ดังนั้น จึงต้องอนุมัติ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ให้ได้โดยเร็ว
สะท้อนจากเหตุการณ์ในยุครัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อของรัฐบาลระหว่างรัฐบาลนายกฯประยุทธ์ มาเป็นรัฐบาลนายกฯเศรษฐา การอนุมัติ พ.ร.บ.งบประมาณล่าช้าทำให้การเบิกจ่ายล่าช้าไป 6-7 เดือน หลายโครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่แม้เป็นงบผูกพันก็ไม่สามารถเบิกเงินได้ หรือเบิกได้ล่าช้า นอกจากนี้ โครงการใหม่ก็ไม่ได้รับการอนุมัติ ทำให้ภาคการก่อสร้างชะงักตัวทันที และเวลาภาคก่อสร้างชะงักจะกระทบกับซัพพลายเชนทั้งหมด
“ลิซ่า” ยังย้ำด้วยว่า นอกจากปัญหาความมั่นคงทางการเมืองแล้ว สิ่งที่เป็นปัจจัยเชิงลบที่กดดันเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างมากอีกเรื่องคือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทในกรุงเทพฯ แม้ปัจจุบันแรงงานส่วนมากที่อยู่ในกรุงเทพฯอาจจะมีค่าแรงเกิน 400 บาทแล้ว แต่เวลามีการประกาศให้ขึ้นค่าแรง มันจะมีเซนติเมนต์มีแรงกดดันให้ค่าแรงและเงินเดือนในส่วนอื่นๆ ขยับขึ้นไปด้วย โดยผลของการขึ้นค่าแรงไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ประกอบการก่อสร้างเท่านั้น แต่ผู้ผลิตสินค้าและวัสดุก่อสร้างก็ต้องขึ้นค่าแรงเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต้นทุนค่าก่อสร้างจะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติอย่างแน่นอน
เป็นข้อเสนอภาคเอกชนต่อทางรอด “เศรษฐกิจไทย” ในวันที่เต็มไปด้วยมรสุมรุมเร้า เข้าสู่โหมด “ถดถอย” อย่างเต็มรูปแบบ!