ผู้เขียน | ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) |
---|
ศึกเทคโนโลยีโลก 2025 เมื่อเทคจีนขึ้นเทียบชั้นเทคสหรัฐ
ปี2025 อาจเป็นปีที่การแข่งขันด้านเทคโนโลยี ร้อนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การลงทุนยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ในมุมของการประกอบธุรกิจ กำไร หรือนวัตกรรม แต่รวมไปถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางเทคโนโลยีที่จะนำไปสู่มาตรฐานของโลกอนาคตยุค Digital
ความน่าสนใจของปี 2025 เกิดขึ้นเมื่อหุ้นเทคโนโลยีผู้นำฝั่งสหรัฐ ทำผลตอบแทนสะดุดบ่อยครั้งในครึ่งปีแรก เช่น จากประเด็น DeepSeek หรือภาษีการค้า สวนทางกับบริษัทเทคโนโลยีจีนที่ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาล หนุนให้หุ้นทำผลตอบแทนโดดเด่น จนกลายเป็นขวัญใจของนักลงทุนในปีนี้
เมื่อการแข่งขันเข้มข้น ผมจึงอยากชวนคิดถึงโอกาสและความเสี่ยงจากการลงทุนสุดฮิตที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีแห่งทศวรรษ 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย Semiconductor, Cloud Computing และรถยนต์ไร้คนขับ (Self-Driving EV) เพื่อให้นักลงทุนรู้จักบริษัทสำคัญทั้งของฝั่งสหรัฐ และจีน ประเมินระดับมูลค่าเบื้องต้น เพื่อไปวิเคราะห์ตัดสินกันว่าใครมีโอกาสเป็นผู้นำของตลาดทุนแค่ไหน
Semiconductor เป็นกลุ่มที่จีนและสหรัฐ มีความต่างของระดับเทคโนโลยีมากที่สุด และการลงทุนโดยรวมแพงที่สุด
สหรัฐครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่ในธุรกิจ Semiconductor สมัยใหม่ ด้วยแกนนำอย่าง Nvidia (NVDA) ที่มีส่วนแบ่งตลาด GPU AI สูงถึง 80% ตามมาด้วย AMD และ Intel (INTC) ที่กลับมาลงทุนใน AI-accelerated PC จริงจัง
ฝั่งจีนนำโดยบริษัทอย่าง SMIC (981 HK) และ Cambricon (688256 CH) แม้จะได้เปรียบด้านการควบคุม Supply Chain และมีการสนับสนุนจากภาครัฐสูง แต่ยังคงตามหลังสหรัฐในด้านเทคโนโลยีอีกไกล
นักวิเคราะห์ในตลาดประเมินความห่างชั้นของ Semiconductor จีนกับสหรัฐ ทั้งในด้าน Hardware Ecosystem และด้านการใช้งานจริง รวมกันอาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี จีนถึงจะตามสหรัฐในปัจจุบันทัน ยิ่งมีความตึงเครียดทางการเมือง นำไปสู่การจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ขั้นสูง ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนในการพัฒนาขึ้นไปอีก
ข้ามกลับมาดูที่ Valuation ผมเลือกใช้ ETF เป็นตัวเปรียบเทียบคือ SMH หรือ VanEck Semiconductor ETF เป็นตัวแทนของสหรัฐ มีราคาหุ้นต่อยอดขาย (P/S) และกำไร (P/E) เฉลี่ยราว 8x และ 66x เทียบกับ Global X China Semiconductor ETF ตัวย่อ 3191 HK ของจีนปัจจุบันมี P/S และ P/E ราวระดับ 3x และ 54x ถือว่าแพงกว่าตลาดมากด้วยกันทั้งคู่
ในมุมมองของผม กลุ่ม Semiconductor ต้องพึ่งการเติบโต ของลูกค้าสูง ขณะที่การกีดกันทางการค้า แม้จะช่วยเทคจีนให้ยืนได้ในระยะสั้น แต่ท้ายที่สุดธุรกิจนี้จะกลายเป็นระบบคู่ขนาน (dual-standard) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หมายความว่า การตีตื้นเรื่อง Semiconductor ของจีน อาจไม่ได้เป็นภัยคุกคามฝั่งสหรัฐมากนัก อย่างไรก็ดี ในมุมกลยุทธ์ นักลงทุนที่สนใจการลงทุนกลุ่มนี้ควรทยอยสะสม เนื่องจากระดับราคาสูง
Cloud Computing เป็นกลุ่มที่จีนและสหรัฐมีความใกล้เคียงกันของระดับเทคโนโลยีมากที่สุด ทำให้การลงทุนฝั่งจีนดูคุ้มค่ากว่า
สหรัฐครองตลาดโลกด้วย Microsoft Azure, AWS, และ Google Cloud ที่ไม่เพียงให้บริการ Cloud แต่ยังต่อยอดเป็น AI-as-a-Service เต็มรูปแบบ โดยผนวก AI Model อย่าง GPT Gemini หรือ Claude เข้าไปในบริการองค์กรแบบ end-to-end
ฝั่งจีน แม้ Alibaba Cloud และ Tencent Cloud จะยังเล็กกว่าเมื่อเทียบกับผู้เล่นขนาดใหญ่ของสหรัฐ แต่หุ้นเทคจีน ได้เปรียบเรื่องของขนาดตลาดภายในประเทศที่คาดว่าจะเติบโตสูงในอนาคต
นอกจากนั้น การที่ภาครัฐมองว่า Cloud คือโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงทาง Digital และการประกาศว่าข้อมูลคือทรัพย์สินของชาติ ยิ่งทำให้เกิดความต้องการ Cloud ท้องถิ่นที่ควบคุมได้ภายในประเทศมากขึ้น
ETF ผมนำมาเปรียบเทียบคือ First Trust Cloud Computing ETF ตัวย่อ SKYY สำหรับฝั่งสหรัฐ ส่วนฝั่งจีนคือ Global X China Cloud Computing ETF ตัวย่อ 2826 HK
จุดอ่อนสำคัญของ SKYY คือธุรกิจกระจุกตัวในหุ้นใหญ่ไม่กี่ตัว บริษัทเล็กแข่งขันยาก Valuation เฉลี่ยจึงถูกดึงขึ้นสูงจนมี P/S 3.6x และ P/E เฉลี่ย 75x ต่างจากฝั่งจีน ที่มีการกระจุกตัวต่ำกว่า ขณะที่ธุรกิจตั้งต้นของผู้นำ Cloud ฝั่งจีนอย่าง Alibaba Tencent และ NetEase มี Valuation ตั้งต้นที่ไม่สูงมาก โดยรวมจึงมี P/E เพียงประมาณ 24x
ในเชิงกลยุทธ์ ผมจึงมองว่าโอกาสของธุรกิจ Cloud Computing ในจีนน่าสนใจกว่าด้วย Valuation ที่เหมาะสม ขณะที่ฝั่งสหรัฐ จะกลับมายืนหนึ่งได้ อาจต้องมองไปที่พัฒนาการของ AI ที่ก้าวหน้าทำให้ผู้ใช้บริการอยากลงทุนต่อ
รถยนต์ EV ไร้คนขับ เป็นคลื่นลูกล่าสุดที่จีนและสหรัฐกำลังแข่งขันในแบบของตัวเอง จีนใช้การลดราคาเข้าสู้ สหรัฐหาทางกำหนดมาตรฐานการบริการก่อน
รถไฟฟ้าและระบบไร้คนขับไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยี แต่เป็นสนามประลองไอเดียธุรกิจแห่งอนาคต
ฝั่งสหรัฐ นำโดย Tesla เน้นไปที่การพัฒนา software AI chip integration ผ่านระบบ FSD ผสานด้วยการใช้ Supercomputer ช่วยประมวลผล ขณะที่ Waymo และ Cruise ขยายโมเดล AV ระดับ 4 (ขับเองได้เต็มที่ในพื้นที่จำกัด) สู่การใช้งานเชิงพาณิชย์
ขณะที่จีน เลือกเติบโตเร็วแบบ mass adoption นำโดย BYD ที่ลดราคารถยนต์ EV จนกลายเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในแง่ยอดขาย ด้วยโมเดลที่ครอบคลุมแบตเตอรี่ มอเตอร์ และชิ้นส่วนในแนวดิ่ง ลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามมาด้วย Xiaomi และ Huawei ที่เข้าสู่ตลาด EV ด้วยการควบรวมเทคโนโลยีมือถือกับรถยนต์
สำหรับการลงทุนฝั่งสหรัฐ ผมเลือกใช้ Global X Autonomous & Electric Vehicles ETF ตัวย่อ DRIV มี Tesla เป็นแกนกลาง โดยมีธุรกิจรถยนต์รวมกับเทค คิดเป็นสัดส่วน 70% ของ ETF ทำให้มี P/S ต่ำเพียง 0.6x แต่ P/E ยังสูง 42x
ส่วนฝั่งจีนผมเลือก Global X EV & Battery Active ETF ตัวย่อ 3139 HK ที่ถือทั้ง BYD, Li Auto, Geely ด้วยสัดส่วนธุรกิจรถยนต์รวมกับเทค คิดเป็น 50% มีระดับ P/E ถูกกว่าสหรัฐ ที่ 28x แต่ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับหุ้นจีนทั่วไป
ด้วยกลยุทธ์การพัฒนา ผมมองว่าฝั่งสหรัฐมีโอกาสขึ้นเป็นผู้กำหนดมาตรฐานของระบบขับขี่ไร้คนขับในโลกอนาคตมากกว่า แต่คงไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ท้ายที่สุดการเป็นผู้นำจะสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจได้แบบเดียวกับ Semiconductor หรือไม่ ทำให้ผมมองว่าจีนและสหรัฐเสมอกันอยู่ในเทคโนโลยีกลุ่มนี้
บทสรุป ไม่ต้องเลือกข้าง แต่ต้องเลือกธีมให้ถูกจังหวะ
ยิ่งวิเคราะห์เทคโนโลยีแห่งอนาคตมากเท่าไหร่ ผมเชื่อว่านักลงทุนจะยิ่งรู้สึกเหมือนผมว่า การพัฒนาของสหรัฐและจีนอาจเป็นเรื่องคู่ขนานที่ไม่กลับมาบรรจบกันในระยะสั้น ทั้งคู่มีมาตรฐานและวิธีการพัฒนาในแบบตัวเอง อาจช้าหรือเร็วต่างกัน
แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือความคาดหวังการเติบโตที่สูง ตามมาด้วย Valuation ที่สูงเช่นในกลุ่ม Semiconductor ขณะที่ธุรกิจที่การเติบโตไม่ชัดเจนจะมีระดับราคาที่เหมาะสมกว่า
ส่วนตัวแล้วผมชอบทั้ง 3 เทคโนโลยี และเชื่อว่าการแข่งขันของสหรัฐและจีนในปัจจุบันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่เราต้องติดตามกันต่อ ในโลกที่มาตรฐานแยกเป็นสองขั้ว นักลงทุนยิ่งต้องไม่เลือกข้างครับ