‘แอร์บัส’ปักฐานออฟฟิศใจกลางกรุงดันไทยสู่ฮับบินภูมิภาค
ภายใต้ท้องฟ้าที่พลุกพล่านด้วยเที่ยวบินจากทั่วโลกเข้าสู่ประเทศไทย เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครจึงไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น หากแต่กำลังก้าวสู่บทบาทใหม่-ศูนย์กลางเทคโนโลยีการบินแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของภาพใหญ่นี้ คือการตัดสินใจล่าสุดของ “บริษัท แอร์บัส (Airbus)” ผู้ผลิตอากาศยานชั้นนำระดับโลก ที่เลือกขยายสำนักงานประเทศไทยแห่งใหม่ ให้เป็นฐานปฏิบัติการสำคัญของแอร์บัสแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบัน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถูกมองว่าเป็นตลาดการบินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และประเทศไทยคือหนึ่งในตลาดสำคัญที่แอร์บัสให้ความสนใจ ที่สามารถพัฒนาได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ เชิงเทคนิค และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ด้วยศักยภาพ ในฐานะฐานการบินที่แข็งแกร่ง ทั้งในแง่ของฝูงบิน สนามบิน ระบบซ่อมบำรุง การให้บริการผู้โดยสาร ไปจนถึงภาคแรงงานที่มีทักษะสูง
ขณะเดียวกัน ประเทศไทย ยังมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ที่สำคัญ คืออยู่ใกล้กับทั้งประเทศจีน อินเดีย อาเซียน และออสเตรเลีย ซึ่งล้วนเป็นตลาดที่มีความต้องการด้านการเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้วยศักยภาพเหล่านี้ ทำให้แอร์บัส ผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมการบินโลกมองเห็นโอกาสในการลงทุนและขยายฐานในไทยอย่างชัดเจน
จากความร่วมมือที่ยาวนานกว่าหลายทศวรรษและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ‘แอร์บัส’ จึงพร้อมที่จะยกระดับบทบาทของไทยในอุตสาหกรรมการบินระดับโลกให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ผ่านก้าวใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกลางเมืองหลวงประเทศไทย ในกรุงเทพมหานคร
ความผูกพันกับไทยกว่า 4 ทศวรรษ
ในโลกที่การเดินทางทางอากาศกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน อุตสาหกรรมการบินจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือเชื่อมต่อผู้คน หากแต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และเทคโนโลยีระดับโลก ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในจุดตัดสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงถูกจับตามองในฐานะ “ศูนย์กลาง” ของการเติบโตในภูมิภาคนี้มาอย่างต่อเนื่อง
นายอานันท์ สแตนลีย์ ประธานแอร์บัสประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เผยความรู้สึกถึงการตั้งฐานสำนักงานใหม่ในประเทศไทยว่า ประเทศไทยในปัจจุบันกำลังก้าวสู่การผู้นำระดับโลกด้านการบิน โดยพบว่ามีอัตราการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน เทคโนโลยีด้านการบิน และคำสั่งซื้ออากาศยานจำนวนมาก อีกทั้งแอร์บัสไม่ได้มองว่าไทยเป็นเป้าหมายเพียงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) เท่านั้น แต่กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีชั้นสูงและวิศวกรรมที่ก้าวหน้าในอุตสาหกรรมการบินของภูมิภาคอย่างแท้จริง
โดยความสัมพันธ์ระหว่างแอร์บัสกับไทยเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2520 จากการที่การบินไทยสั่งซื้อเครื่องบินรุ่น A300B4 และสานต่อมาอย่างมั่นคง ปัจจุบัน เครื่องบินแอร์บัสให้บริการในฝูงบินของสายการบินหลักของประเทศ ได้แก่ การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย และไทยเวียตเจ็ท โดยภายในปีนี้ การบินไทยเตรียมให้บริการเครื่องบิน A321neo พร้อมที่นั่งชั้นธุรกิจรูปแบบใหม่ เพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสาร
ในด้านเฮลิคอปเตอร์ แอร์บัสมีเฮลิคอปเตอร์ให้บริการกว่า 70 ลำในประเทศไทย ทั้งในภารกิจทางทหาร พลเรือน และกึ่งพลเรือน โดยรุ่น H225M ใช้งานโดยกองทัพอากาศในภารกิจค้นหาและกู้ภัย ส่วนรุ่น H145M ถูกนำไปใช้งานโดยกองทัพเรือสำหรับการขนส่งและลำเลียงทั่วไป
แอร์บัสยังมีบทบาทสำคัญในภาคการป้องกันประเทศ โดยกองทัพบกไทยใช้เครื่องบิน C295 ซึ่งเป็นเครื่องบินลำเลียงทางยุทธวิธีสำหรับขนส่งสัมภาระ กำลังพล และการฝึกกระโดดร่ม
อีกด้านหนึ่งที่น้อยคนรู้คือ แอร์บัส มีบทบาทในโครงการด้านอวกาศของไทย โดยเป็นผู้พัฒนาดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก THEOS-1 หรือดาวเทียมไทยโชต และ THEOS-2 ซึ่งได้ขึ้นสู่วงโคจรในปี 2566 โดย THEOS-2 มีส่วนช่วยยกระดับศักยภาพด้านภูมิสารสนเทศของไทย รวมถึงสนับสนุนการจัดการภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว และน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
นายอานันท์ระบุถึงทิศทางของอุตสาหกรรมการบินในระดับภูมิภาคว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยแอร์บัสประเมินว่าหลายสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีความต้องการเครื่องบินใหม่ถึง 20,000 ลำภายใน 20 ปีข้างหน้า คิดเป็นครึ่งหนึ่งของความต้องการทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคนี้
นายอานันท์เล่าย้อนถึงช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ว่า อุตสาหกรรมการบินของไทยมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยมีสัดส่วนมากกว่า 7% ของจีดีพี และสร้างการจ้างงานมากกว่า 130,000 คน
ดังนั้น เมื่อเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินในช่วงหลังโควิด แอร์บัสจึงยังคงความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมการบินของไทย และมีความพร้อมในการสนับสนุนศักยภาพนี้อย่างเต็มที่
มากกว่านั้น แอร์บัสยังมองเห็นถึงโอกาสในการขยายบทบาทของไทยในด้านพลังงานสะอาด และมุ่งมั่นพร้อมจะช่วยผลักดันประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางการบินพลังงานสะอาดของภูมิภาคอาเซียน จากการใช้ “น้ำมัน SAF” (Sustainable Aviation Fuel) ได้มากขึ้น โดยจะถูกนำมาใช้จริงกับเที่ยวบินไปยุโรปช่วงปลายปี 2568 นี้
หากการทดลองใช้จริงนี้มีประสิทธิภาพเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ก็จะมีส่วนช่วยการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับประชาชนทั่วไปได้อีกด้วยเนื่องจาก น้ำมัน SAF สามารถผลิตได้จากน้ำมันเหลือใช้ในครัวเรือน ซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ให้กับประชาชนทั่วไปจากการรับซื้อน้ำมัน เป็นอีกแรงหนุนให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
โดยปกติ แอร์บัสให้ความสำคัญกับการพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF และหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของบริษัท โดยทางแอร์บัสมองเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการผลิต SAF มากกว่า 5 ล้านตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานของประเทศในปี 2562 ด้วยทรัพยากรจากภาคเกษตรไทย เช่น กากน้ำตาล ฟางข้าว ซังข้าวโพด และมูลสัตว์ และเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต SAF ระดับโลกได้ในอนาคตอันใกล้ และทางแอร์บัสพร้อมจับมือกับภาครัฐและเอกชนไทยเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ร่วมกัน
กว่า 40 ปีที่ผ่านมา แอร์บัสมีบทบาทอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ทั้งในด้านการผลิตเครื่องบินพาณิชย์ เฮลิคอปเตอร์ การป้องกันประเทศ และอวกาศ ล่าสุด แอร์บัสได้เปิดสำนักงานแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ พร้อมศูนย์ความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติการบิน และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจาก 17 ประเทศ ตอกย้ำพันธกิจระยะยาวในการสนับสนุนประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางเทคโนโลยีการบินระดับภูมิภาค
“แอร์บัสยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนวิสัยทัศน์ด้านอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศไทย ด้วยการขับเคลื่อนนวัตกรรมและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว” นายอานันท์กล่าว
สนง.ใหม่ศูนย์กลางคุมแอร์บัสทั่วโลก
นายอานันท์ระบุว่า ในปี 2568 ไฮไลต์สำคัญที่ทางแอร์บัสภูมิใจนำเสนอคือ แอร์บัสได้ปักหมุดเปิดสำนักงานแอร์บัสแห่งใหม่ในประเทศไทย ในพื้นที่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นตอกย้ำความมุ่งมั่นที่มีต่อประเทศไทย
สำนักงานแห่งใหม่นี้มีพื้นที่รวม 1,200 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากพื้นที่สำนักงานเดิมถึง 30% เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ และยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ความโดดเด่นของสำนักงานแอร์บัสแห่งใหม่นี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังรวมถึงการรวมพลังของบุคลากรผู้เชี่ยวชาญกว่า 200 คน จากทุกหน่วยธุรกิจหลักของแอร์บัส และเข้ามาไว้ภายใต้หลังคาเดียวกัน โดยประกอบด้วยฝ่ายอากาศยานพาณิชย์ (Commercial Aircraft) ฝ่ายเฮลิคอปเตอร์ (Helicopters) และฝ่ายเครื่องบินป้องกันประเทศและอวกาศ (Defence and Space)
การรวมหน่วยงานสำคัญเหล่านี้ไว้ในสำนักงานเดียวกัน มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างการทำงานร่วมกัน (synergy) อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการประสานงานระหว่างทีมต่างๆ ตลอดจนยกระดับการสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยและภูมิภาคให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ภายในสำนักงานยังประกอบด้วยห้องจำลองการทำงาน (simulation lab) ที่มีความทันสมัย สำหรับการทดสอบและตรวจสอบโซลูชั่นซอฟต์แวร์ก่อนส่งมอบจริง เพื่อให้มั่นใจได้ถึงการบูรณาการระบบที่ราบรื่นและประสิทธิภาพการปฏิบัติการขั้นสูงสุด
พร้อมกันนี้ ภายในออฟฟิศใหม่ ยังมีการตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติการบิน โดยศูนย์ปฏิบัติการบินของแอร์บัสในกรุงเทพฯ แห่งนี้ ถือเป็นศูนย์กลางด้านความเป็นเลิศระดับโลกของแอร์บัสในด้านการสนับสนุนและให้บริการด้านการบิน ที่ไม่ใช่เพียงสำหรับให้บริการกับประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงระดับโลกในด้านวิศวกรรมการบิน
โดยภายในประกอบด้วยห้องจำลองการบินล้ำสมัย ซึ่งดำเนินงานโดยทีมของ นาฟบลู (NAVBLUE) บริษัทในเครือของแอร์บัส ที่เชี่ยวชาญด้านระบบดิจิทัลการบิน ห้องดังกล่าวใช้สำหรับทดสอบและตรวจสอบโซลูชั่นซอฟต์แวร์ก่อนนำไปใช้กับลูกค้าสายการบินทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจได้ในประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความปลอดภัยในระดับสูงสุด พร้อมทั้งเป็นศูนย์ปฏิบัติการที่จะตรวจสอบเครื่องบินทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อให้การดูแลและช่วยเหลือลูกค้าได้แบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ ภายในออฟฟิศใหม่ ยังมีการจัดพื้นที่ห้องสำหรับการสัมมนา และสำหรับการอบรม ซึ่งสถาบันศึกษาด้านการบิน รวมถึงสายการบินในไทย สามารถเข้ามาเปิดการสอนหรือให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องบินแอร์บัสได้เช่นกัน เพราะออฟฟิศใหม่มีความพร้อมทั้งอุปกรณ์ และเครื่องมือ ซึ่งจะเป็นการยกระดับด้านการศึกษาวิชาการบินของไทยให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น
นอกจากนี้แอร์บัสยังเปิดโอกาสให้บุคลากรนักบินจากสายการบินในประเทศไทยเข้ามาใช้ห้องจำลองการทำงาน (simulation lab) ได้เช่นกัน มั่นใจว่าเทคโนโลยีและเครื่องมือค่อนข้างแม่นยำ และจำลองสถานการณ์ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
นายอานันท์ระบุ แอร์บัสมองว่า เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมการบินไม่ควรหยุดอยู่แค่ระบบซ่อมบำรุงและการดูแลรักษาอากาศยาน (MRO) เท่านั้น แต่ต้องก้าวไปสู่ระดับที่ลึกกว่า นั่นคือระบบดิจิทัลและวิศวกรรมการบินขั้นสูง ซึ่งกำลังกลายเป็นหัวใจของการพัฒนาอุตสาหกรรมในยุคใหม่
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงไม่ได้เป็นเพียง “ศูนย์ซ่อมบำรุง” เหมือนในอดีต แต่กำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมการบินที่ล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐที่มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมการบินไทยให้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
‘นาฟบลู’ขับเคลื่อนบริการบินดิจิทัล
นายอานันท์เน้นย้ำว่า การขยายสำนักงานในกรุงเทพฯครั้งนี้ ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงการเติบโตอย่างโดดเด่นของบริการด้านปฏิบัติการบิน (flight operations services) ของแอร์บัส โดยสำนักงานแห่งใหม่นี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติการบิน (Centre of Excellence for flight operations) สนับสนุนทั้งแอร์บัสและนาฟบลู (NAVBLUE) ซึ่งเป็นหน่วยงานดิจิทัลด้านปฏิบัติการบินของบริษัท
“เนื่องด้วยความต้องการสำหรับกิจกรรมในลักษณะ ‘Local for Global’ ที่เพิ่มขึ้น พื้นที่ภายในสำนักงานที่กว้างขวางมากขึ้นนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการและเสริมการสนับสนุนของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นายอานันท์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย อาจยังไม่คุ้นชื่อนาฟบลู ซึ่งบริษัท นาฟบลู NAVBLUE คือบริษัทในเครือของแอร์บัส (Airbus) ที่เชี่ยวชาญด้านโซลูชั่นดิจิทัลสำหรับการปฏิบัติการบิน (Flight Operations Solutions) ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนการบิน การควบคุมการดำเนินงาน การเพิ่มประสิทธิภาพของฝูงบิน ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลการบิน เพื่อลดต้นทุน เสริมความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายการบิน
รวมถึงให้บริการทั้งในรูปแบบซอฟต์แวร์ ระบบบนคลาวด์ และบริการสนับสนุนด้านข้อมูล โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การจำลองการบิน การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อช่วยให้สายการบินตัดสินใจได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญ รวมกับแอร์บัสที่จะช่วยยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีการบินของแอร์บัสในระดับภูมิภาค
ผู้เชี่ยวชาญ 17 ชาติเสริมฐานบินของโลก
นายอานันท์ระบุว่า จุดแข็งของศูนย์แห่งใหม่นี้ ยังอยู่ที่การรวมตัวของบุคลากรด้านเทคนิคจากกว่า 17 ประเทศทั่วโลก ทั้งจากแอร์บัสและนาฟบลู ซึ่งมาร่วมกันทำงานในกรุงเทพฯ เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าสายการบินของแอร์บัสในทุกภูมิภาค โดยบุคลากรเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้งในเชิงวิศวกรรม การวิเคราะห์ข้อมูลการบิน และการพัฒนาระบบสนับสนุนดิจิทัลขั้นสูง รวมถึงมีความแม่นยำและรอบคอบในการให้ข้อมูลบริการขั้นพื้นฐานเช่นกัน
โดยการลงทุนในศูนย์เทคโนโลยีระดับโลกครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของแอร์บัสที่มีต่อประเทศไทย ทั้งในด้านทรัพยากรบุคคล ความพร้อมทางเทคนิค และบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของไทยในอุตสาหกรรมการบินโลก พร้อมทั้งยืนยันว่าแอร์บัสจะเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายการดำเนินงานในไทยอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
“สำนักงานใหม่นี้ไม่ใช่แค่ศูนย์บริหารงาน แต่คือก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างแอร์บัสกับประเทศไทย ที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมการบินไทยมีบทบาทโดดเด่นบนเวทีโลก” นายอานันท์ทิ้งท้าย
บีม คณะโจทย์