ปัจจุบันการตื่นตัวกับคำว่า Bio-Innovation ได้ขยายวงไปในทุกมิติ
จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ สะท้อนว่า นิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจ Bio-Innovation ในประเทศไทย มีจำนวน 389 ราย โดยจำนวนนิติบุคคลคงอยู่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 45 ราย คิดเป็น 13.08% มูลค่าทุนจดทะเบียน 9,576 ล้านบาท ธุรกิจส่วนใหญ่จัดตั้งในขนาดเล็ก จำนวน 358 ราย คิดเป็น 92.03% ขนาดกลาง จำนวน 30 ราย คิดเป็น7.71% และขนาดใหญ่ จำนวน 1 ราย คิดเป็น 0.26% รวมถึงจัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัดที่สุด 382 ราย คิดเป็น 98.20% ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล/ห้างหุ้นส่วนจำกัด 5 ราย คิดเป็น1.29% และบริษัทมหาชนจำกัด 2 ราย คิดเป็น 0.51%
วิเคราะห์สัดส่วนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ Bio-Innovation ในเชิงลึก พบว่า รอบ 5 ปีที่ผ่านมา หรือระหว่าง 2563-2567 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 มีการจัดตั้งสูงสุดกว่า 59 ราย เพิ่มขึ้นถึง 11.32% จากปี 2566 และ 5 เดือนแรกของปี 2568 มีการจัดตั้งใหม่ 30 รายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 2567 จำนวน 11 ราย คิดเป็น 57.89% มูลค่าทุนจดทะเบียน 178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 149 ล้านบาท คิดเป็น 5.11 เท่า ปัจจัยที่เป็นส่วนสำคัญทำให้การจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นมาจากธุรกิจสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เป็นตัวแปรสำคัญของธุรกิจ รวมทั้งปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในเชิงอุตสาหกรรมมากขึ้น ด้านการลงทุนของต่างชาติในธุรกิจ Bio-Innovation พบว่า มีมูลค่าการลงทุน 3,881 ล้านบาท สัญชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ ฮ่องกง มูลค่า 1,074 ล้านบาท คิวบา มูลค่าการลงทุน 683 ล้านบาท และญี่ปุ่น มูลค่า 649 ล้านบาท
ในส่วนผลประกอบการธุรกิจ Bio-Innovation สร้างรายได้สูงต่อเนื่อง ปี 2566 มีรายได้อยู่ที่ 6,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 707 ล้านบาท คิดเป็น 13.16% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้5,372 ล้านบาท จากข้อมูลทางด้านการเงินที่น่าสนใจพบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สินทรัพย์รวมของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2566 มีสินทรัพย์รวมกว่า 12,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 123.27% จากปี 2562 ที่มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 5,637 ล้านบาท สะท้อนถึงนักธุรกิจได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นเพื่อหวังผลการเติบโตในระยะยาวโอกาสของธุรกิจ Bio-Innovation ในประเทศไทยถือว่ามีศักยภาพมากและยังรอการลงทุนจากนักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ธุรกิจ Bio-Innovation โดดเด่นและน่าสนใจอย่างมาก โดยเป็นการผสมผสานระหว่าง Biotechnology หรือเทคโนโลยีชีวภาพ และ Innovation หรือนวัตกรรม โดยใช้วิทยาศาสตร์ชีวภาพมาประยุกต์ให้เกิดเป็นนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่จนกลายเป็นธุรกิจที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและมีความสำคัญต่อการสร้างความเติบโตของธุรกิจไทย โดยเฉพาะด้านการแพทย์ เกษตร อาหาร และอุตสาหกรรม เช่น เส้นใยสังเคราะห์จากจุลินทรีย์ที่มีความแข็งแรงสูงเทียบเท่าไนลอน อาหารเลี้ยงสัตว์ที่มีโปรตีนสูงผลิตจากหนอนแมลงวันลาย การลดปริมาณน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลไม้เป็นส่วนประกอบ พลาสติกที่ผลิตจากอ้อยและมันสำปะหลังย่อยสลายได้ เป็นต้น
ในปี 2024 ทั่วโลกมีการแข่งขันในธุรกิจนี้สูงมากสร้างมูลค่าอุตสาหกรรมกว่า 1.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 6 ประเทศที่เป็นหลักในอุตสาหกรรมนี้คือ สหรัฐอเมริกา จีน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ และสหราชอาณาจักร ด้านประเทศไทยในปี 2024 มีมูลค่าอุตสาหกรรมประมาณ 0.7% ของโลก โดยระหว่างปี 2024-2030 จะมีสัดส่วนมูลค่าอุตสาหกรรมเติบโตอยู่ที่ 13.6% ต่อปี และคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือปี 2030 จะมีมูลค่าสูงถึง 8,284 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 268,573 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนนักลงทุนไทยและมีความได้เปรียบทางการตลาดได้แก่
1.ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เป็นแหล่งเพาะปลูกพืช สัตว์ และพืชเศรษฐกิจของไทยอย่าง ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการนำไปใช้ในธุรกิจ
2.มีบุคลากรที่มีความพร้อมและโครงสร้างพื้นฐานในการวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ
3.ตลาดโลกมีความต้องการด้านผลิตภัณฑ์ชีวภาพ อย่างปุ๋ย อาหารเสริม เคมีภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าในประเภทนี้อย่างมาก
4.ธุรกิจนี้ถือเป็นธุรกิจประเภท BCG ที่อยู่ในยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการเติบโต
5.ปัจจุบันภาคเอกชนให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สินค้า สร้างความหลากหลาย ลดต้นทุนการผลิต และเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายหน่วยงาน สร้างความเข้าใจ Bio-Innavation และที่มาไว้อีกว่า
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) คือ กระบวนการนำสิ่งมีชีวิตนำมาใช้อย่างเป็นระบบเพื่อพัฒนาจากเดิม หรือสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ ช่วยเพิ่มความทันสมัยให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกนำมาใช้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ การเกษตร อาหาร หรือภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อการดำรงชีพของมนุษย์ที่จะดียิ่งๆ ขึ้นไป
นวัตกรรม หรือ Innovation มีรากศัพท์มาจาก innovate ใน ภาษาละติน แปลว่า ทำสิ่งใหม่ขึ้นมา โดย นวัตกรรม จึงหมายถึง ความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น และเมื่อนำนวัตกรรมมาใช้ ช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม
ย้อนหลัง Bio-Innavation เริ่มต้นตั้งแต่ยุคโบราณ เมื่อมนุษย์ประยุกต์การใช้ชีววิทยาเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การหมักอาหารและเครื่องดื่ม และการฟอกหนังด้วยสารจากพืช ต่อมาในศตวรรษที่ 17 จึงผลิตน้ำส้มสายชูจากเอทานอลและค้นพบจุลินทรีย์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดย อันโตนี ฟัน เลเวินฮุก ที่ได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งจุลชีววิทยา และช่วง ค.ศ.1856-1890 หลุยส์ ปาสเตอร์ แยกยีสต์จากแบคทีเรีย และคิดค้นวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าสำเร็จ และต่อมาพัฒนาทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง จนถึงวัคซีนชนิด mRNA โดย ศ.กอตอลิน กอริโก และ ศ.ดรู ไวส์แมน ที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ปัจจุบัน (ค.ศ.2024)
การศึกษาเรื่องชีววิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพ ไม่ได้จำกัดแค่ทางการแพทย์ แต่ยังเติบโตในเชิงพาณิชย์ระดับโลกด้วย โดยรายงานจาก Precedence Research พบว่า อุตสาหกรรมนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและแข่งขันสูง โดยปี 2024 มีมูลค่าทั่วโลกกว่า 1.55 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งประเทศแข่งขันหลักในอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ สหรัฐ จีน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ และสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ สินค้าที่สำคัญ คือ การพัฒนายาชีวภาพ (Biopharma) และยารักษามะเร็ง ซึ่งจีนมีจำนวนการจดสิทธิบัตรยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ในส่วนของประเทศไทย มีสัดส่วนมูลค่าอุตสาหกรรม ประมาณ 0.7% ของอุตสาหกรรมนี้ในทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นยารักษาโรค และนวัตกรรมทางการแพทย์เป็นหลัก โดยมีรายงานข้อมูลจาก Grandview research คาดว่าไทยจะมีมูลค่าตลาดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ ในปี 2030 สูงถึง 8,284.20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 268,573.76 ล้านบาท และปี 2024 ถึง 2030 ประเทศไทยจะเติบโตเฉลี่ย 13.6% ต่อปี
สำหรับตัวอย่างการพัฒนา Bio-Innovation ในบริบทการค้าโลก อาทิ
“Spiber” เป็นผู้ผลิตเส้นใยสังเคราะห์จากจุลินทรีย์สำหรับสิ่งทอที่มีความแข็งแรงสูงเทียบเท่าไนลอน แต่ย่อยสลายได้ เมื่อปี 2007 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดย Spiber ได้ระดมทุนจากนักลงทุนมากมาย ได้งบลงทุนประมาณ 35,000 ล้านเยนหรือประมาณหมื่นล้านบาท ปี 2021 ตั้งฐานผลิตในไทย เนื่องจากไทยมีน้ำตาลมาก ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์
“FLYLAB” เป็นผู้ผลิตอาหารเลี้ยงสัตว์จาก Black Soldier Fly larvae (BSFL) หรือหนอนแมลงวันลาย ยังนำไปแปรรูปได้หลายอย่าง และอุดมไปด้วยโปรตีนที่สูงพร้อมด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นอีกมาก นับเป็นแหล่งทางเลือกที่ดีเหมาะสำหรับนำมาเป็นอาหารสัตว์
“BBGI” เป็นผู้ผลิตไบโอดีเซลและเอทานอล โดยมีผลิตภัณฑ์พลอยได้เป็นกลีเซอรีนดิบ (Crude Glycerin) ซึ่งสามารถนำไปกลั่นเป็นกลีเซอรีนบริสุทธิ์ เพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นสำคัญในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตสบู่ ยา และเครื่องสำอาง
นอกจากด้านการแพทย์แล้ว นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพยังขยายสู่อุตสาหกรรมเกษตร ยกตัวอย่างเช่น ผลิตปุ๋ยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างจุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนจากอากาศ แทนการใช้ปุ๋ยสังเคราะห์ การพัฒนาพันธุ์พืชให้ทนต่อสภาพภูมิอากาศ อย่างเนเธอร์แลนด์สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้มูลค่าสูงสุดในยุโรป นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอื่นๆ ยังนำเทคโนโลยีชีวภาพไปประยุกต์ใช้ เช่น อินเดียทำการผลิตยางรถยนต์คุณภาพสูงจากแกลบ เนเธอร์แลนด์ทำการผลิตพลาสติกย่อยสลายได้จากพืช เช่น อ้อยและมันสำปะหลัง
สรุปได้ว่าเทคโนโลยีชีวภาพกำลังเปลี่ยนแปลงหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกผ่านการสร้างนวัตกรรม ที่ไม่จำกัดเฉพาะด้านการแพทย์และเภสัชกรรม แต่ขยายไปถึงภาคเกษตร อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อมอย่างปัจจัยสำคัญในการพัฒนา Bio-Innovation มาจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างเทคโนโลยีจากห้องทดลองสู่โรงงานผลิตและการค้า