ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาความไม่สมดุลของการพัฒนา (Imbalance Trap) และติดอยู่ในกับดักประเทศระดับรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) มาเป็นเวลานานกว่า 3 ทศวรรษ จนถึงปัจจุบัน เมื่อพิจารณาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจากโครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) พบว่า มีมูลค่าเพิ่มที่มาจากภาคเกษตรประมาณ 10% ภาคอุตสาหกรรม 30% และภาคบริการ 60% โดยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2568 ขยายตัว 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเร่งการส่งออกก่อนภาษีนำเข้าสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ ในขณะที่ภาคการบริโภคและการท่องเที่ยวชะลอลง
อย่างไรก็ตาม ทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ในขณะที่แรงส่งจากท่องเที่ยวในปีนี้คาดว่าจะติดลบ ดังนั้น ภาคการผลิตที่ต้องพึ่งพาแรงงานที่มีคุณภาพและมีผลิตภาพแรงงาน (Labour Productivity) สูง จึงยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ปี 2568 นับว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของเศรษฐกิจไทย อันเนื่องมาจากผลพวงของสงครามภาษี ทำให้รูปแบบของการทำธุรกิจและภาคการผลิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในรูปแบบใหม่ เช่น ธุรกิจศูนย์เหรียญที่กินรวบทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ
ขณะเดียวกัน เมื่อหันกลับมามองในบ้าน กลับพบว่าประเทศไทยยังคงประสบปัญหาเชิงโครงสร้างการขาดแคลนแรงงานทั้งในเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ และเชิงภูมิศาสตร์ ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าในอดีต มีการไหลเข้าของแรงงานต่างด้าวติดอันดับที่ 17 ของโลก ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญ
สาเหตุของการขาดแคลนแรงงานในไทย ประกอบด้วย 2 สาเหตุหลักที่มีการกล่าวถึงอย่างต่อเนื่องในวงกว้างได้แก่ 1.การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและมีฝีมือ อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ทำให้แรงงานไทยบางส่วนขาดทักษะที่จำเป็นในการทำงานในภาคธุรกิจสมัยใหม่
2.การเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete aged society) โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ปรากฏการณ์ดังกล่าว ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในประชากร โดยมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ประชากรวัยทำงานและอัตราการเกิดเด็กกลับลดลง ส่งผลให้กลุ่มประชากรวัยทำงานต้องแบกรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุสำคัญอีกประการที่ยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก แต่เป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การสูญเสียแรงงานจากอุบัติเหตุทางถนน โดยประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะ จากอุบัติเหตุทางถนนอยู่ในระดับที่สูงมาก เป็นภัยเงียบซ่อนเร้นที่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อระบบเศรษฐกิจอย่างมหาศาลกว่า 1.2 แสนล้านบาทต่อปี (คิดเป็นเกือบ 1% ของ GDP)
ปี 2567 มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนกว่า 17,477 ราย กลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดคือกลุ่มวัยแรงงานฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลกระทบทางตรงต่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ ความเสียหายจากต้นทุนการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และความสูญเสียดังกล่าวยังนำไปสู่ผลกระทบที่ส่งผลต่อครอบครัว สังคม และความสูญเสียด้านคุณภาพชีวิต (Lost Quality of life) ซึ่งเป็นมูลค่าที่ไม่สามารถประเมินค่าเป็นตัวเงินได้
มาถึงตรงนี้ คงไม่เกินจริงที่จะกล่าวว่า การยกระดับเศรษฐกิจไทยคงต้องทำควบคู่กันไป 2 แนวทาง คือ 1.การพัฒนาต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว กับ 2.ลดการสูญเสียที่เป็นรูโหว่จากภัยเงียบซ่อนเร้นดังกล่าว
จึงนำมาสู่คำถามอย่างง่ายแต่สำคัญอย่างยิ่งว่า เราจะลดการสูญเสียแรงงานจากอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างไร?
คำตอบไม่ง่าย และไม่มีสูตรตายตัว ที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความปลอดภัยทางถนน (Road Safety) มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางถนน ผ่านกลไกต่างๆ ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในปี 2567 ลดลงได้กว่า 4 พันราย หรือลดลง 20% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2560
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยยังคงมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในระดับที่สูงกว่า 1.7 หมื่นคนต่อปี ยังคงเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมที่สูงมาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และหน่วยงานภาคีเครือข่ายจึงร่วมกันผลักดันส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทำ “มาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน” ด้วยเครื่องมือ “Road Safety Organization (RSO)” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินองค์กรตนเอง และช่วยแนะนำการจัดทำมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนนอย่างครอบคลุมทั้งจากภายในองค์กรและขยายสู่ชุมชนรอบข้าง
แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การจัดทำแผน/มาตรการด้านความปลอดภัยและการนำไปปฏิบัติ การติดตามประเมินผลและการทบทวนปัญหา และการสร้างวัฒนธรรมตลอดจนการสร้างเครือข่ายด้านความปลอดภัย ผ่านกลไกการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความปลอดภัย การสร้างเครือข่ายอาสาสมัครในองค์กร/พื้นที่ รวมถึงคู่ค้า และการสร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยน แบ่งปันข้อมูล มาตรการความปลอดภัย
รวมถึงกรณีศึกษาที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุผ่านเว็บไซต์ “ปันความปลอดภัย” โดยมีทีมสนับสนุนเสริมความรู้ทางวิชาการและร่วมเป็นเจ้าภาพการทำงานในพื้นที่ เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกมิติ
สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จ.ลำพูน และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จ.ชลบุรี คือ ตัวอย่างความสำเร็จ ที่เป็นผลจากการนำมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนนมาประยุกต์ใช้ผ่านกลไกความร่วมมือเชิงพื้นที่ โดยสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จ.ลำพูน ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมาตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน
ในขณะที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จ.ชลบุรี สามารถลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนได้ถึง 80% ใน 4 ปีลดมูลค่าความเสียหายที่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจลงได้กว่า 150 ล้านบาทต่อประชากร 2 แสนคน ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จ.ชลบุรี ยังมีแนวคิดส่งต่อแนวทางความปลอดภัยนี้สู่นิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกกว่า 65 แห่ง
คาดว่าจะลดการสูญเสียแรงงานที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจได้อีกกว่า 7.7 พันล้านบาท มุ่งสู่การดําเนินงานตามเป้าหมาย ข้อกําหนดของทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน และการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี 2030 ที่ตั้งเป้าหมายลดจํานวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชนบนถนนลงครึ่งหนึ่งตามความมุ่งมั่นสร้างสังคมแห่งความปลอดภัย ทั้งในพื้นที่รับผิดชอบและพื้นที่โดยรอบนิคมอุตสาหกรรม
ต้นทุนแรงงานอาจสูงถึง 70% ของต้นทุนธุรกิจทั้งหมด การสูญเสียแรงงานเพียง 1 คน โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูงถือเป็นความสูญเสียที่มากมายมหาศาลขององค์กรและประเทศ การร่วมกันจัดทำมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน นอกจากองค์กรจะได้ประโยชน์จากการลดการสูญเสียของทรัพยากรต่างๆ อาทิ สินทรัพย์ เงิน และกำลังคน ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร สร้างความเชื่อมั่นต่อคู่ค้าและสังคม ซึ่งช่วยให้ธุรกิจมีบทบาทเชิงบวกต่อชุมชนอย่างยั่งยืน
อีกทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขและสังคมให้กับประเทศ รวมถึงช่วยยกระดับประสิทธิภาพและเพิ่มประสิทธิผลให้กับทุกหน่วยเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
เรียกได้ว่า “ตอบโจทย์ธุรกิจ ตอบโจทย์ประเทศ ลงตัวกับกติกาโลกอย่างยั่งยืน”