จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า กระทรวงการคลังมีแนวคิดจัดเก็บภาษี 15% จากผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จากเดิมที่ไม่มีการจัดเก็บนั้น
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหารบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยว่า ได้เข้าพบและหารือประเด็นดังกล่าวกับนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว ส่วนตัวและอุตสาหกรรมเห็นด้วยที่รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีเพื่อไปใช้พัฒนาประเทศ เนื่องจาก อุตสาหกรรมกองทุนได้รับการสนับสนุนด้านภาษีมาจากภาครัฐเป็นระยะเวลากว่า 10-20 ปีแล้ว และปัจจุบันก็เติบโตอย่างแข็งแรง แต่ในฐานะคนในอุตสาหกรรมก็เสียดายเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ทราบว่าทางภาครัฐประเมินว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษีนี้ประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนตราสารหนี้คิดเป็น 60% ของมูลค่ากองทุนรวมทั้งหมดที่มีมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ อัตราการภาษี 15% นั้นอยู่ในระดับเดียวกับเงินฝากประจำที่ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% เมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนหลังหักภาษีระหว่างการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้และเงินฝากประจำแล้วพบว่าผลตอบแทนกองทุนตราสารหนี้ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเล็กน้อย สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมต่อจากนี้นั้น อาจจะได้รับผลกระทบบ้างดังนั้นผู้จัดการกองทุนคงต้องใช้ฝีมือในการออกผลิตภัณฑ์การเงิน การจัดการพอร์ตลงทุนโดยรวมเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุน เช่น อาจจะเพิ่มสัดส่วนของกองทุนรวมให้มีตราสารหนี้มากขึ้น ซึ่งตรงนี้ต้องคุยรายละเอียดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการไหลของเงินทุนนั้น ในอนาคตหากธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นก็ต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อระดมเงินฝาก ก็จะมีผลต่อตลาดตราสารหนี้อยู่ดี
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนั้น เท่าที่สำรวจยังพบว่าประชาชนผู้มีรายได้น้อยยังมีปัญหา ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่เป็นกำลังซื้อใหญ่ที่สุดในประเทศ ส่วนอัตราดอกเบี้ยไทยนั้นมีแนวโน้มปรับขึ้นแต่ยังไม่ขึ้นมาก เชื่อว่าอีก 1-2 ปีประเทศไทยก็ยังไม่มีดอกเบี้ยเงินฝากที่สูง เพราะหากดอกเบี้ยสูงมากผู้ที่กู้เงินทั้งบุคคลและภาคเอกชนก็จะเดือดร้อน และที่สำคัญรัฐบาลกำลังใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
