คลังเผยรัฐบาลเล็งเปิดเสรีทองอัญมณี-ดันไทยศูนย์กลางค้าขายโลก

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่อาคารหอการค้าไทย-จีน ถนนสาทร นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยระหว่างกล่าวเปิดงานสัมมนา “นโยบายของสรรพากรต่อภาษีร้านทอง” ซึ่งจัดโดยสมาคมค้าทองคำ และสมาคมเพชรพลอยเงินทอง ว่ารัฐบาลต้องการผลักดันให้ธุรกิจผลิตและค้าทองคำและอัญมณีของประเทศเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกของไทยที่เรียกว่าแชมเปี้ยนโปรดักต์ โดยพร้อมที่จะสนับสนุนในเรื่องของการลดหย่อนอัตราภาษี เพื่อให้ไทยเป็นแหล่งค้าขายสินค้าดังกล่าวของโลกแบบปลอดภาษี (ฟรีเทรด) ซึ่งเท่าที่ดู ธุรกิจค้าขายทองและจิวเวลรีนั้น เป็นธุรกิจที่มีความเข้มแข็งแม้ว่ารัฐบาลจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ก็สามารถไปแข่งขันในตลาดโลกได้ เพราะมีแรงงานที่มีฝีมือ และไทยเก่งในอันดับต้นๆ ของโลก รัฐมองว่าควรจะผลักดันให้เป็นแชมเปี้ยนโปรดักต์ได้ โดยในปี 2558 ธุรกิจทองคำและจิวเวลรีนั้น มีมูลค่าการส่งออกถึง 3.7 แสนล้านบาท อยู่ในอันดับ 3 ของการส่งออกสินค้าส่งออกทั้งหมด

นายอภิศักดิ์กล่าวต่อว่า สำหรับการผลักดันให้ไทยเป็นฟรีเทรดสินค้าทองและอัญมณีนั้น ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เคยหารือกับผู้ประกอบการในประเด็นดังกล่าว ว่าทำไมจึงไม่เปิดตัวต่อตลาดการค้าโลก เพราะไทยสามารถแข่งขันได้ แต่ทางสมาคมผู้ค้าทองและผู้ประกอบการรายเล็กไม่เห็นด้วย เพราะกังวลว่าจะเกิดผลกระทบและไม่สามารถแข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากสมาคมผู้ค้าทองได้รับฟังเหตุผลว่า การเปิดฟรีเทรดสินค้าดังกล่าว จะทำให้มูลค่าการซื้อขายของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อไทยประกาศว่าจะเป็นประเทศที่เปิดเสรีค้าทองและอัญมณี ต่อไปนักท่องเที่ยวก็จะหันมาซื้อสินค้าดังกล่าวในไทย เหมือนกันกับสมัยหนึ่งที่คนจะซื้อทองคำต้องไปซื้อที่ประเทศดูไบ เป็นต้น

“ผมได้บอกกับนายกสมาคมค้าทองว่า ถ้าสิ่งที่เราพูดมานั้น เป็นผลดีต่อธุรกิจและต่อประเทศ ก็สามารถเสนอเรื่องเข้ามา เราพร้อมจะผลักดันให้ ตัวผมเองชอบโมเดลนี้ ซึ่งจะเปลี่ยนประเทศไทย และเราก็ควรเก่งในสิ่งที่สามารถสร้างมูลค่าสูงๆ ซึ่งนายกสมาคมค้าทองก็เข้าใจและเห็นด้วยกับเราแล้ว” นายอภิศักดิ์กล่าว

นายอภิศักดิ์กล่าวว่า นอกจากนี้ ขอฝากให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าทองและธุรกิจอื่นเข้าร่วมโครงการทำบัญชีเล่มเดียวกับกรมสรรพากร เพราะขณะนี้ กรมสรรพากรได้ออกกฎหมายที่จะไม่เข้าไปตรวจสอบการชำระภาษีย้อนหลัง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าระบบอย่างถูกต้อง โดยได้รับรายงานจากอธิบดีกรมสรรพากรว่ามีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนเกือบ 4 แสนราย จาก 4.2 แสนราย ได้เข้าโครงการดังกล่าวแล้ว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image