ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อสิ้นสุดเวลา 16.30 น.วันที่ 21 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ในเครือ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือแจส ต้องชำระค่าประมูล 4 จี งวดแรกจำนวน 8,040 ล้านบาท และวงเงินค้ำประกันอีก 6.76 หมื่นล้านบาท ปรากฏว่าเมื่อหลังเวลา 16.30 น.ซึ่งผ่านพ้นเส้นตายไปแล้วทางแจสก็ยังไม่ได้นำมาส่งมอบกับทางกสทช.แต่อย่างใด ส่งผลให้ แจส ต้องถูกยึดหลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงิน 644 ล้านบาททันที รวมถึงการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการจัดการประมูลรอบใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับบรรยากาศการรอรับชำระค่าใบอนุญาตวันสุดท้ายของ แจส ตลอดทั้งวันได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนกว่า 50 คน รวมถึงตัวแทนของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ที่ได้เข้ามาเฝ้าสังเกตการณ์ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) วันที่ 21 มีนาคม ว่า ราคาหุ้นซื้อขายในแดนบวกตลอดทั้งวัน และยังเป็นหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายและปริมาณการซื้อขายสูสุดติด 1 ใน 5 ของวัน ราคาปิดการซื้อขายที่ 3.68 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 2.79% ราคาสูงสุดของวันที่ 3.70 บาท และต่ำสุดที่ 3.56 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,229 ล้านบาท
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เผยแพร่ข้อความผ่านเฟสบุ๊ก “Somkiat Tangkitvanich” ว่า น่าเสียดายที่แจสไม่ได้นำเงินมาชำระค่าประมูลคลื่น ทำให้ไม่เกิดผู้เล่นรายใหม่ แต่มองในแง่ดี การมีปัญหาในช่วงนี้ดีกว่าการมีปัญหาในอนาคตซึ่งจะมีผลกระทบต่อผู้บริโภค หากเริ่มให้บริการแล้ว โดยกสทช. ควรนำคลื่นมาประมูลใหม่โดยตั้งราคาเท่ากับราคาสุดท้ายก่อนที่ผู้ประกอบการที่เหลือรายแรกออกจากการประมูล ซึ่งอยู่ในระดับประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เพราะเป็นราคาที่ทุกรายรับกันได้ ไม่ควรนำไปประมูลในราคาที่แจสประมูลได้ เพราะเป็นราคาที่ผู้ประกอบการรายอื่นไม่เอา และไม่ควรเก็บคลื่นไว้เฉย ๆ เพราะเป็นการปล่อยให้ทรัพยากรสูญเปล่า ควรนำมาจัดประมูลโดยเร็วที่สุด เพราะสังคมมีความต้องการใช้
พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) กล่าวว่า หลังจากที่แจสไม่เดินทางชำระค่าประมูล 4 จีคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ หลังสิ้นสุดเวลา 16.30 น.วันที่ 21 มีนาคมนั้น ทาง กสทช. จึงได้ตัดสิทธิ์ผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์แก่ แจส ส่วนแนวทางที่จะดำเนินการในเบื้องต้นนั้นเป็นไปตามที่บอร์ด กทค. ได้มีมติออกมา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ประกอบด้วย 1.หากมีการประมูลใหม่ ราคาตั้งต้นการประมูล จะกำหนดเท่ากับราคาประมูลที่ผู้ชนะการประมูลทิ้งใบอนุญาตไป ซึ่งในกรณีของ แจส คือ 75,654 ล้านบาท 2.ในการประมูลใหม่ จะไม่ตัดสิทธ์ผู้ชนะการประมูลครั้งที่แล้วที่ได้นำเงินประมูลมาชำระ คือ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด เพื่อให้มีผู้เข้าประมูลจำนวนมากราย
3.หากมีการประมูลใหม่แต่ไม่มีผู้สนใจเข้าประมูล ทาง กสทช. จะเก็บคลื่นไว้อย่างน้อย 2 ปี และ 4.ผู้ประมูลที่ไม่มาชำระตามกำหนดเวลา นอกจาก กสทช. จะริบหลักประกันที่เป็นเช็คเงินสดมูลค่า 644 ล้านบาท ยังจะเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงตรวจสอบคุณสมบัติใบอนุญาตของการเป็นผู้ประกอบกิจการที่มีกับ กสทช. ทั้งหมด ทั้งนี้ส่วนจะมีการประมูลใหม่เมื่อใด หรือจะมีการเรียกร้องค่าเสียหายเมื่อใดนั้น ทางบอร์ด กทค. จะมีการประชุมเพื่อหาความชัดเจนในกรณีต่างๆ ในวันที่ 23 มีนาคมนี้ โดยหลังจากได้ข้อสรุปแนวทางได้แล้วก็จะมีหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชน นายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงจากกรณีที่เกิดขึ้นต่อไป
“เราทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วและเป็นไปได้ตามข้อกฎหมาย คือเมื่อชนะการประมูลแล้วมาจ่ายค่าประมูลไม่ได้ก็ต้องรับโทษไป แต่หากไม่เห็นด้วยก็สามารถใช้สิทธิ์ต่อสู้ในชั้นศาลได้” พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ในการคิดค่าเสียหายกับ แจส ทางกสทช. จะตั้งคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาทางกฎหมายขึ้นมาพิจารณา โดยมีเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นประธาน และตัวแทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว ส่วนรายละเอียดการดำเนินการทางกฎหมายนั้นต้องหารือกันในบอร์ด กทค.ที่จะประชุมในวันที่ 23 มีนาคมนี้ก่อน นอกจากนี้ได้ประสานไปยัง แจส และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ(ตลท.) เพื่อขอให้ แจส ออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการด้วย เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่ประชาชน หรือนักลงทุน ต้องรับทราบข้อเท็จจริง
นายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวกระทบต่อประวัติการณ์ของวงการอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยอย่างมาก ซึ่งต้องพิจารณาร่วมกันหาทางออกอย่างรอบคอบที่สุดเพื่อความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ในความเห็นของดีแทค หากมีการจัดการประมูลอีกครั้ง ควรจะต้องนำคลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ ช่วงที่ 1 มาประมูลใหม่ตามเงื่อนไขเดิมของ กสทช. ซึ่งยังมีผลใช้บังคับ รวมทั้งกำหนดราคาประมูลเริ่มต้น 16,080 ล้านบาทเท่าเดิม เพราะเป็นราคาที่นำไปสู่การสะท้อนมูลค่าคลื่นความถี่ที่แท้จริง