บาทไม่น้อยหน้าหุ้น!เปิดวันแรกปีจอแข็งโป๊ก-ปิดตลาดแข็งมากสุดในรอบกว่า2ปี

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักวิเคราะห์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดวันแรกของปี (3มกราคา 2561) ที่ 32.42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากปิดสิ้นปี 2560 ที่ 32.57 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ผลจากแรงเทขายดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง คาดกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ 32.20-32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่ดอลลาร์สหรัฐจะกลับทิศได้ คือ เรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่อาจเร็วกว่าคาด ซึ่งต้องติดตามการออกมาให้ความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการเงินในช่วงสุดสัปดาห์นี้

ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบีอนาไลติกส์) รายงานว่า ค่าเงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มแข็งค่าและแกว่งในกรอบ 32.25-32.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังนักลงทุนและนักค้าเงินกลับมาจากช่วงหยุดยาวในช่วงปีใหม่ อย่างไรก็ดี หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อภาคอุตสาหกรรมและบริการ ตัวเลขตลาดแรงงาน อย่างยอดจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมและการเติบโตของรายได้ออกมาดีกว่าคาดจะหนุนให้ดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าได้

“ในปีนี้นักวิเคราะห์ต่างยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ หุ้น ทว่า จะต้องระวังการปรับฐานของราคาของสินทรัพย์เสี่ยงที่ค่อนข้างปรับตัวขึ้นร้อนแรงในช่วงปีที่ผ่านมา  นอกจากนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น จะราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงจากปีก่อน และแนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีโมเมนตัมต่อเนื่อง  อย่างไรก็ดี ในปีนี้จะเป็นปีที่มีความเสี่ยงทางการเมืองและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นจากปีก่อน นักลงทุนและผู้ประกอบการควรเพิ่มความระมัดระวัง” ศูนย์วิเคราะห์ฯ ระบุ

ด้านกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า ทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์แรกของปี 2561 ว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปีนี้ ตลาดการเงินจะให้ความสนใจกับบันทึกการประชุมของเฟด รวมถึงข้อมูลการเติบโตของค่าจ้างในสหรัฐ เพื่อประเมินแรงส่งผ่านของตลาดแรงงานไปยังเงินเฟ้อที่ยังอยู่ที่ระดับต่ำ ซึ่งอาจให้ภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ ในปี 2560 ตลาดหุ้นโลกให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 8 ปี เนื่องจากนักลงทุนปรับตัวรับอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตทั่วโลก นอกเหนือจากปัจจัยเงินเฟ้อและการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดแล้ว ในปีนี้จะมีการปรับเปลี่ยนบุคลากรระดับสูงหลายตำแหน่งภายในองค์กรเฟด รวมถึงการเลือกตั้งทั่วไปในอิตาลีและการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้

Advertisement

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ คาดว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) ของไทยจะเติบโต 4% ในปีนี้ต่อเนื่องจากปี 2560 โดยเศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงหนุนหลักจากการส่งออกและท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อภาคเอกชนยังไม่แข็งแกร่งนัก ส่วนการลงทุนภาครัฐมีสัญญาณสดใส หลังจากมีความคืบหน้าการประมูลและการเซ็นสัญญาการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการ ซึ่งคาดหวังว่าจะส่งผลบวกต่อการลงทุนภาคเอกชนได้ชัดเจนขึ้น

“ค่าเงินดอลลาร์ในตลาดโลกมีแนวโน้มเผชิญกับแรงกดดันจากการคาดการณ์ของนักลงทุนที่ว่าธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) อาจเริ่มปรับสมดุลนโยบายการเงินเร็วกว่าคาด อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า ในปีนี้เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าในอัตราที่ลดลง ทั้งนี้ ในปี 2560 เงินบาทแข็งค่าเป็นอันดับสามของเอเชีย โดยแข็งค่าเกือบ 10% แม้เฟดได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งปีรวม 0.75% ขณะที่ในปีนี้การเคลื่อนย้ายเงินทุนจะยังคงผันผวน ส่วนการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีแนวโน้มลดลงจากยอดนำเข้าที่ฟื้นตัวตามการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง ซึ่งจะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง” กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่าเงินบาทตลอดทั้งวันเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่า โดยปิดตลาดที่ 32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากเปิดตลาดที่ 32.42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และยังเป็นการแข็งค่ามากสุดตั้งแต่ปี 2558

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image