นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์กรณีศาลพิพากษาให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จ่ายคืนเงินค่าใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ตั้งแต่งวดที่ 3 เป็นต้นไปแก่บริษัท ไทยทีวี จำกัด ที่ขอคืนใบอนุญาต แต่บอร์ด กสทช. มีมติให้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลว่า เรื่องนี้ถือว่ายังไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านกฎหมาย และสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เชิยตัวแทนของสมาคมทีวีดิจิทัลไปพูดคุยเพราะอาจเห็นว่ามีประเด็นบางอย่างที่ต้องมีการหารือกัน
นายเขมทัตต์ กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวนี้จะพูดคุยกันภายใน 1-2 เดือนเพื่อหาทางออกคงไม่ได้ แต่ด้วยลักษณะของประเด็นที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวบ่งบอกอะไรบางอย่างที่ทำให้ทีวีดิจิทัลตัดสินใจได้เร็วขึ้น ทำให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น ขณะที่หน่วยงานกำกับอย่าง กสทช. จะได้ทบทวนสิ่งที่ทำไปนั้น เป็นผลประโยชน์ของสาธารณะหรือสังคมหรือไม่ รวมถึงคนร่างกฎหมายอย่างสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ด้วย
“ที่ผ่านมามีกฎระเบียบหนึ่งว่าหากเกิดข้อโต้แย้งหรือขัดแย้งระหว่างคู่สัญญา กสทช.ไม่เกี่ยวข้อง ควรเป็นเรื่องของคณะกรรมการไกล่เกลี่ยหากว่าราคาสูงเกินไป ควรต้องมีการทำราคากลางในการประมูล ซึ่งที่ผ่านมาคนที่อยู่ตรงกลางที่เป็นหน่วยงานกำกับไม่มีการทำราคากลาง ต่างคนต่างทำ เพราะแผนแม่บทที่กสทช.กำหนดมา ไม่เท่าเทียมกัน จึงอยากถามว่าใครจะเป็นคนที่กำหนดราคากลาง ถ้าเป็นเรื่องโฆษณา จะเป็นเอเจนซี่ หรือระบบเรตติ้งเป็นตัววัดราคาหรือไม่ พอเกิดเรื่องขัดแย้งกัน ทีวีดิจิทัลมีปัญหา มีการบอกว่า ห้ามจอดำ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจเหมือนกัน แสดงว่ากฎหมาย กฎระเบียบที่เขียนไว้มีช่องว่าง ทำให้ต้องตีความ แต่รระหว่างตีความ ธุรกิจก็ไปต่อไม่ได้ ฉะนั้นกรณีที่บอกว่า จะต้องมีการลดค่าใบอนุญาต หรือการเยียวยาค่าใบอนุญาต ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมานั่งคุยกันว่า เจ้าของใบอนุญาตจะได้เงินจากการลดค่าใบอนุญาตหรือเงินเยียวยาจากที่ไหน ได้เมื่อไร ราคาคุ้มค่ากับที่ลงทุนไปหรือไม่ อย่าง อสมท. บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) หากได้รับการเยียวยาน้อย ก็ต้องตอบผู้ถือหุ้น ตอบคณะกรรมการให้ได้ถึงประเด็นต่างๆ ดังนั้น หน่วยงานที่กำกับดูแล จะต้องไม่คิดเพียงมิติเดียว ต้องคิดหลายมิติให้ครบถ้วน”
