‘สมคิด’ระบุเอดีบีเกรงใจไทยเลยให้ศก.โต3%-ส่วนตัวเห็นว่าศก.อ่อนแอแนะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

เมื่อวันที่ 1 เมษายน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)จัดงาน “SET 100 ผนึกกำลังประชารัฐ” โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ ว่า การที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2559 จะเติบโตที่ 3% มาจากผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกนั้น อาจเป็นการให้เหตุผลด้วยความเกรงใจ แต่ในความเห็นส่วนตัวคืออาจเป็นเพราะความอ่อนแอของประเทศไทยเอง ซึ่งประเทศไทยควรเริ่มแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ได้ตั้งแต่ 10 ปีก่อนหน้า แต่ไม่สามารถทำได้เพราะมีปัญหาการเมืองมาต่อเนื่อง เช่นสัดส่วนการส่งออกที่สูงถึง 70% ต่อจีดีพีถือเป็นความบกพร่องทางนโยบายที่ปล่อยให้สัดส่วนการส่งออกมีผลมากกับเศรษฐกิจไทยจนเกินไป การให้คนจำนวนถึง10-20 ล้านคนมากระจุกตัวอยู่ในภาคการเกษตรที่สร้างจีดีพีไทยได้น้อย และสินค้าที่ผลิตได้ราคาต่ำจะนำกำลังซื้อมาจากแห่งใด

นายสมคิดกล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาคเอกชนหลังจากนี้จะให้เอกชนร่วมภาครัฐ คิดว่าทิศทางการขับเคลื่อนน่าจะไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามนโยบายของนายรัฐมนตรีที่อยากขับเคลื่อนประเทศด้วยประชารัฐ ดังนั้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะต้องขับเคลื่อนด้วยการให้บริษัทใหญ่ยกระดับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทเหล่านี้ได้ลงทุนการวิจัยและนวัตกรรมต่างๆ อยู่แล้วเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต ดังนั้น เอกชนควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ โดยการรวบรวมกลุ่มหัวคิดใหม่จากบริษัทต่างๆ เข้ามาคิดผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มมีการวิจัย ขณะที่ภาครัฐช่วยหาเงินทุนและสินเชื่อจากต่างประเทศเข้ามาอุดหนุนจึงสามารถสร้างสตาร์ทอัพได้มากและมาช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้ไม่ยากสำหรับประเทศไทยแต่ต้องเริ่มดำเนินการ ซึ่งในระยะ 3-4 ปีข้างหน้า คาดว่าประเทศไทยจะเกิดการพัฒนาดังกล่าวได้

นายศุภชัย เจียรวนนท์ หัวหน้าทีมภาคเอกชนคณะทำงานร่วมประชารัฐด้านการศึกษาพื้นบานและการพัฒนาผู้นำ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้ต่างๆ ได้สนับสนุนด้านการศึกษาอยู่แล้วในลักษณะต่างคนต่างทำ ไม่ได้มียุทธศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งโครงการประชารัฐจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาด้านการศึกษาเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนไปพร้อม ๆกัน ทั้งภาครัฐและเอกชนมองว่าเราไม่อาจทิ้งภาระเรื่องการศึกษาให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นคนดำเนินการเพียงอย่างเดียว ทุกภาคส่วนควรเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำ สร้างทรัพยากรที่มีคุณภาพ

นายกานต์ ตระกูลฮุน หัวหน้าทีมภาคเอกชนคณะทำงานร่วมประชารัฐด้านการยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะทำงานได้ดำเนินการขจัดอุปสรรคด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 ประเทศไทยต้องขยับลำดับของความยากง่ายในการทำธุรกิจจาก 49 มาอยู่ที่ 20 ให้ได้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image