‘บิ๊กจิน’พอใจ ผลงานศูนย์เตือนภัยฯ อันดับ1ในอาเซียน-แนะปรับบทบาทหลังโอนสังกัดมท.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ อาคารปฏิบัติการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ บางนา พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม รับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน พร้อมทั้งมอบนโยบายและให้คำแนะนำในการดำเนินงานแก่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ

นายชยสาร โทณานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผยว่า การเดินทางมาเยี่ยมชมการทำงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติของ พล.อ.อ.ประจิน ในครั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่ เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว 7.9 ริกเตอร์ ที่หมู่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ทางรองนายกรัฐมนตรี จึงได้เข้ามาเน้นย้ำบทบาท และการต่อยอดขยายผลในการปฏิบัติการ โดยรองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติไปดำเนินการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังข้อดีและข้อเสนอแนะ จากประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเฝ้าระวังภัยพิบัติ อาทิ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย และ ศรีลังกา เป็นต้น รวมทั้งการเน้นย้ำเรื่องการปรับบทบาท หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติโอนย้ายจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ไปอยู่ภายใต้สังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ภายหลังที่ ร่าง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ฉบับล่าสุดมีการประกาศใช้

นายชยสาร กล่าวว่า ในส่วนของการรายงานผลการดำเนินงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ พบว่า พล.อ.อ.ประจิน ค่อนข้างพอใจ เนื่องจากในด้านศักยภาพการดำเนินงานพบว่าศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติของไทยมีศักยภาพเป็นอันดับที่ 1 ของภูมิภาคอาเซียน โดยหากมีเหตุภัยพิบัติเกิดขึ้น สามารถแจ้งเตือนประชาชนได้ทันทีภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที ซึ่งในการทำงานจะเป็นลักษณะการประสานงานกับกรมอุตุนิยมวิทยาในขั้นแรก จากนั้นจะทำการประเมินว่าจะมีการแจ้งเตือนประชาชนในระดับใด ระหว่าง แจ้งข่าว(กรณีที่ไม่เกิดผลกระทบใด) แจ้งเฝ้าระวัง และแจ้งเตือนภัย ทั้งนี้ในปี 2559 ถือเป็นปีที่อุปกรณ์เฝ้าระวัง เช่น ทุ่นเตือนภัยในทะเล หอเตือนภัย และระบบเตือนภัยต่างๆ มีความพร้อมมากที่สุด เนื่องจากในปีนี้เป็นปีแรกที่ทางรัฐบาลอนุมัติการจัดสรรงบประมาณการซ่อมบำรุงและดูแลรักษาอุปกรณ์ในการปฏิบัติงานต่างๆ ให้สมบูรณ์ เต็มจำนวนที่ร้องขอไป คือ ราว 140 ล้านบาท

นายชยสารกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทางศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้เจรจาความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เพื่อขอความร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ในการของแทรกสัญญาณโทรทัศน์เพื่อทำการแจ้งเตือนแก่ประชาชนผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ได้ทันทีหากมีเหตุต้องแจ้งเตือนภัยพิบัติแก่ประชาชน เนื่องจากโทรทัศน์ถือเป็นอีกหนึ่งสื่อที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด