“หอการค้า” มองกลุ่ม CLMV ศก.โตต่อเนื่อง สิงคโปร์เป็นประเทศดึงดูดการลงทุนดีที่สุด(ชมคลิป)

นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยการประเมินการค้าการลงทุนในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ว่า ในปี 2565 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีพีดีของกลุ่มประเทศนี้จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากปี 2558 ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2.23 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนเดิม (ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และบรูไน) มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1.11 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยจีดีพีเฉลี่ยของซีแอลเอ็มวีจะอยู่ที่ร้อยละ 6.8 ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนเดิมมีจีดีพีเฉลี่ย อยู่ที่ร้อยละ 4.5 เห็นได้ว่าประเทศในอาเซียนมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายอัทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศในอาเซียนมีการทยอยลดภาษีให้เป็น 0% เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พบว่าสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันลดลง ขณะที่สัดส่วนการค้าของประเทศนอกอาเซียนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ที่มีสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศอาเซียนในปี 2559-2560 อยู่ที่ร้อยละ 14.8 จากเดิมในปี 2553-2558 อยู่ที่ร้อยละ 18.4

“กลุ่มประเทศอาเซียนเดิมมีแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศอาเซียนลดลงเช่นกัน แต่ไม่มากนัก โดยมีสัดส่วนลดลงจาก ร้อยละ 24.9 ในปี 2553-2558 เหลือเพียงร้อยละ 24.8 ในปี 2559-2560 และคาดว่า ในปี 2561-2565 จะเหลือเพียงร้อยละ 24.7 เนื่องจากประเทศจีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีที่เดิมปี 2547 มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศอาเซียนด้วยกันเอง อยู่ที่ร้อยละ 26.7 ในปี 2560 กลับมีการนำเข้า เหลือเพียง ร้อยละ 20.2 ขณะที่มีการนำเข้าจากประเทศจีน อยู่ที่ร้อยละ 31.3” นายอัทธ์ กล่าวและว่า สะท้อนว่ากลุ่มประเทศอาเซียนเดิมกำลังสูญเสียโอกาสการส่งออกไปยังตลาดกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีให้กับจีน และเกาหลีใต้ คาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า ประเทศจีนจะเข้ามามีบทบาททางการค้าเพิ่มขึ้นในประเทศเมียนมา และประเทศเกาหลีใต้จะเข้ามามีบทบาททางการค้ามากขึ้นในเวียดนาม ส่วนประเทศไทยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดในประเทศลาว และกัมพูชา ขณะที่ด้านการลงทุน คาดว่าในปี 2565 ประเทศที่มีการลงทุนโดยตรง (FDI) จากต่างประเทศมากที่สุด คือ ประเทศสิงคโปร์ ขณะที่ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่น่าจับตามอง โดยประเทศอินโดนีเซียจะต้องสูญเสียฐานการผลิตให้กับประเทศเวียดนาม สำหรับประเทศมาเลเซีย ยังคงรักษา FDI คงที่ ในอันดับที่ 2

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image