เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรมศิลปากร จัดงานสโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา เสวยราชสมบัติกษัตรา มี ผศ.ดร.ชัชพล ไชยพร รองคณะบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.นนทพร อยู่มั่งมี ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ผศ.ดร.พัสวีสิริ เปรมกุลนันท์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และนายธีรพันธุ์ จันทร์เจริญ ผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ผู้เชี่ยวชาญด้านอยุธยาอาภรณ์ เป็นวิทยากร มีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังกันอย่างเนืองแน่น
ผศ.ดร.ชัชพลกล่าวว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในราชวงศ์จักรี มี 3 รัชกาลด้วยกัน ที่มีพระราชพิธีดังกล่าวถึง 2 ครั้ง ได้แก่ สมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งขณะนั้นทรงขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์แล้ว แต่ยังทรงไม่สามารถประกอบพิธีได้อย่างครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี เนื่องจากอยู่ในภาวะติดพันศึกสงคราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รวมองค์ความรู้เกี่ยวกับการราชพิธี แล้วโปรดเกล้าฯให้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกครั้งใน พ.ศ.2328
ผศ.ดร.ชัชพลกล่าวว่า ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2411 ครั้นเมื่อเสด็จออกผนวชแล้ว และทรงลาสิกขา ก็มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง และสมัยรัชกาลที่ 6 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกวันที่ 11 พฤศจิกายน 2453 หลังการสวรรคตของรัชกาลที่ 5 ไม่นาน แล้วจึงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช โดยเชิญราชสัมพันธมิตรทั้งปวงมาร่วมงานในวันที่ 2 ธันวาคม 2454 จะเห็นได้ว่าการบรมราชาภิเษกในแต่ละสมัยไม่จำเป็นต้องมีแค่ครั้งเดียว
“ในสมัยรัชกาลที่ 6 การที่มีประมุขต่างๆ ส่งผู้แทน ส่งราชทูตมาร่วมพระราชพิธีถึง 14 ประเทศ ลงหนังสือพิมพ์ทั่วโลก นี่คือการสื่อความเป็นเอกราช ความเป็นรัฐสมัยใหม่ให้ปรากฏทั่วโลก โดยในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกทั้ง 2 ครั้งเกิดขึ้นต่างสถานที่ ต่างวิธีคิด โดยครั้งแรกทรงตั้งชื่อว่าการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมราชมณเฑียร เป็นการขึ้นสู่สถานะพระมหากษัตริย์ ขึ้นพระมหามณเฑียรใหม่ แต่ครั้งที่ 2 คือพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช จัดที่หมู่พระมหาปราสาทและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม” ผศ.ดร.ชัชพลกล่าว
ดร.นนทพรกล่าวว่า คติของบรมราชาภิเษกมีรากฐานมาจากอินเดีย โดยคำว่า บรมราชาภิเษก มาจาก บรมราชา + อภิเษก คำว่า อภิเษก หมายถึงการหลั่งรดน้ำ เป็นเรื่องของการแต่งตั้งตำแหน่ง หรืออีกนัยยะของน้ำก็คือการเปลี่ยนสถานภาพ เพราะก่อนที่พระมหากษัตริย์จะขึ้นเสวยราชสมบัติ พระองค์ทรงเป็นเจ้านายในระดับปกติมาก่อนจึงต้องมีการชำระล้าง เมื่อถึงวันพิธีจะมีการบวงสรวงเทวดาก่อนการถวายน้ำพระมุรธาภิเษก การถวายน้ำสงฆ์พระมุรธาภิเษก หลังจากนั้นจะมีการเปลี่ยนเครื่องทรงเข้าสู่อีกขั้นตอนการรับน้ำอภิเษก เดิมทีในธรรมเนียมจะใช้บรรดาพราหมณ์หรือราชบัณฑิตทั้งหลาย แต่ในตอนหลังระบบการปกครองเปลี่ยนไปมีการใช้สมาชิกรัฐสภาร่วมกับพราหมณ์
ผศ.ดร.พัสวีสิริกล่าวว่า สถานที่จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกคือหมู่พระมหามณเฑียร ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางของพระบรมมหาราชวัง เป็นอาคารที่ประกอบด้วยพระที่นั่งหลายหลังที่เชื่อมกัน อาคารทั้งหมดในพระที่นั่งจะทอดตัวจากด้านทิศเหนือไปทิศใต้ เชื่อมต่อกันระหว่างเขตพระราชฐานชั้นกลางและเขตพระราชฐานชั้นใน โดยพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยบริเวณเขตพระราชฐานชั้นกลาง แต่ส่วนที่อยู่เชื่อมต่อข้างใน มีพระที่นั่งที่สำคัญอีกหลายองค์ ตั้งแต่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งสอดคล้องและเชื่อมต่อกันทั้งหมด
นายธีรพันธุ์กล่าวว่า พระภูษาผ้าเขียนทอง เป็นผ้าที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างสืบเนื่องโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 200 ปีเศษ แหล่งผลิตอยู่ที่อินเดีย เนื่องจากใช้เทคโนโลยีซับซ้อน อีกทั้งเป็นความลับที่ทางอินเดียสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน เข้ามาสู่สังคมไทยในสมัยอยุธยาตอนต้น ลวดลายเป็นอย่างแขก ทำจากฝ้าย เหมาะกับภูมิอากาศบ้านเรา ผ้าเขียนทองไม่ได้มีความงามแค่ลวดลายทองที่โดดเด่นขับให้สีสันต่างๆ บนลวดลายผ้าเท่านั้น แต่ตัวลายมีความงดงามสมบูรณ์ มีความใกล้เคียงกับจิตรกรรมมากที่สุด ไม่มีเงื่อนไขหรือโครงสร้างของการทอมาเป็นข้อจำกัด นี่คือเหตุผลว่าทำไมผ้าชนิดนี้จึงทรงศักดิ์สูงสุดในทำเนียบศักดินา