ที่มา | สกู๊ปหน้า 1 มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
กลายเป็นกระแสฮือฮาชั่วข้ามคืน เมื่อ ศาสตราจารย์ ดร.นิยะดา เหล่าสุนทร ราชบัณฑิต เปิดเผยถึงการมีอยู่ของภาพสไลด์จิตรกรรมฝาผนังทั่วประเทศไทยเกือบ 1 หมื่นภาพซึ่งบันทึกไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนโดยนักวิชาการชาวอเมริกัน นามว่า ดร.วอร์เดมาร์ ซี. ไซเลอร์
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสำเนาภาพคัดลอกรอยพระพุทธบาททั่วเอเชีย ทั้งเนปาล จีน เกาหลี ญี่ปุ่น พม่า อินเดีย ยูนนาน ทิเบตและศรีลังกา รวมกว่า 400 แผ่น นับเป็นกรุสมบัติล้ำค่าในด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีที่มีมหาวิทยาลัยชื่อดังของโลกทาบทามขอนำไปเก็บรักษาไว้ในต่างประเทศ
ทว่า ศาสตราจารย์ ดร.นิยะดา ยังไม่ได้ “เซย์เยส” แต่อย่างใด ส่งผลให้เหล่านักวิชาการพากันออกมาหนุนให้ภาครัฐเร่ง “แอ๊กชั่น” โดยเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติชาติ ขณะที่โลกโซเชียลแห่แชร์ล้นหลามด้วยความตื่นตาตื่นใจ และห่วงใยว่าสุดท้ายอาจต้องถูกโยกย้ายไปอยู่เมืองนอกหากไม่มีใครเห็นค่า
ราชบัณฑิตท่านนี้ เปิดบ้านให้ “มติชน” ชมสมบัติชุดนี้โดยเฉพาะสำเนารอยพระพุทธบาททั้งที่ทำจากสำเนากระดาษสา และสำเนาที่ทำขึ้นจากการใช้แผ่นพลาสติกใสลอกลายแล้วถ่ายเอกสารลงกระดาษ โดยถูกม้วนแล้วคลุมด้วยพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง แต่ละแผ่นมีความยาวเฉลี่ยมากกว่า 2 เมตร ปรากฏข้อความเขียนด้วยลายมือบันทึกชื่อสถานที่และรายละเอียดอื่นๆ
เมื่อเปิดห่อพลาสติกพบว่าเริ่มมีกลิ่นอับชื้น แต่สภาพโดยรวมยังสมบูรณ์มาก ไม่มีรอยฉีกขาด หรือเชื้อรา ลวดลายงดงามของสัญลักษณ์มงคลยังคงแจ่มชัด แม้กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
เช่นเดียวกับภาพถ่ายขาวดำที่ล้างอัดอย่างดีนับพันภาพซึ่งบันทึกห้วงเวลาประวัติศาสตร์ของจิตรกรรมฝาผนัง, พระพุทธรูป, ไม้แกะสลัก, ประติมากรรม และโบราณวัตถุในวัดวาอารามก่อนบูรณะ ระบุชื่อสถานที่ด้วยปากกาลูกลื่นเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับภาพสไลด์ เก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย ไม่ได้อยู่ที่บ้านพัก
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีต้นฉบับของ “ดร.ไซเลอร์” ที่ยังไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน เรื่อง “A Buddha Tradition-Buddha Pada-Lanchana and Pada : Buddha Footprtint and Feet” เขียนภาพลายเส้นโดยนายเมืองสิงห์ จันทร์ฉาย ระบุปี ค.ศ.1990 เมืองโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา มีเนื้อหาเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาทในลังกา
“ต้นฉบับนี้ ดร.ไซเลอร์มอบให้ดิฉัน เป็นผลงานที่ทำอย่างประณีต แต่ยังไม่มีการพิมพ์เผยแพร่ ถ้าดิฉันไม่อยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับผลงานต่างๆ ของดร.ไซเลอร์ก็ไม่อาจทราบได้ หากใครอยากต่อยอด สามารถมาพูดคุยกันได้ นี่เป็นสมบัติของประเทศจึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง แต่อาจจำเป็นต้องให้คำตอบกับหน่วยงานอื่นในต่างประเทศก่อนสิ้นปีนี้” ศาสตราจารย์ ดร.นิยะดาระบุ
แน่นอนว่า ไม่ต้องสงสัยถึงคุณค่าของผลงานทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะความเก่าแก่หลายสิบปี หากแต่ยังเป็น “หลักฐาน” ชั้นดีที่สามารถนำมาอ้างอิงเชิงวิชาการ และใช้ในงานอนุรักษ์ บูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานของชาติ
ทว่า ประเด็นเรื่องการเก็บรักษานั้น ใครจะรับเป็น “เจ้าภาพ” เมื่อลิสต์ชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แน่นอนว่า “กรมศิลปากร” ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐย่อมผุดขึ้นเป็นอันดับต้นๆ โดยปัจจุบันมี “หอจดหมายเหตุแห่งชาติ” ที่ดูแลวัสดุ เอกสาร และภาพถ่ายในลักษณะเช่นนี้อยู่แล้ว
นอกจากนั้น ก็มี “ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)” เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ได้รับกล่าวถึง เพราะมากมายด้วยฐานข้อมูลดิจิทัลที่เกี่ยวเนื่องกับเอกสารโบราณ
หนึ่งในความเห็นน่ารับฟังจาก ดร.ตรงใจ หุตางกูร นักวิชาการกลุ่มงานวิจัยและพัฒนา ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ มองว่า ทั้งสไลด์ภาพจิตรกรรมและสำเนาคัดลอกรอยพระพุทธบาทในเอเชียล้วนมีคุณค่าทางวิชาการ ถ้าเป็นไปได้ หน่วยงานในประเทศไทยควรเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติชาติ แต่ไม่ใช่เก็บอย่างเดียว ต้องทำสำเนา
ดิจิทัลเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในการศึกษาเรียนรู้ทั้งต้นฉบับและสำเนา
“ถ้าไปอยู่ต่างประเทศทั้งหมด แล้วไม่ถูกเผยแพร่ในระบบออนไลน์ หากคนไทยอยากศึกษางาน ดร.ไซเลอร์ที่เคยทำไว้ อาจต้องบินไปที่นั่น ถ้าหน่วยงานใดในไทยมีศักยภาพ ควรเก็บรักษาไว้” ดร.ตรงใจแนะนำ
ขณะที่ ศาสตราจารย์พิเศษศรีศักร วัลลิโภดม นักประวัติศาสตร์ชื่อดังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยในไทยก็น่าจะเก็บรักษาไว้ แต่ส่วนตัวยังนึกไม่ออกว่าที่ไหนมีศักยภาพเพียงพอ ถ้ารักษาไม่ได้ก็ให้ต่างประเทศไป แต่จะเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง
“ผลงานของเหล่านี้ สมควรที่จะได้รับการเก็บรักษาไว้ในประเทศไทย เพราะเป็นผลงานที่ละเอียดประณีต ดร.ไซเลอร์ ทำด้วยความทุ่มเทตลอดชีวิต หลายครั้งถูกนำไปใช้โดยไม่มีการให้เครดิตหรืออ้างอิง ทั้งยังมีช่วงชีวิตที่ค่อนข้างลำบาก ทั้งยังมีปัญหาสุขภาพโดยช่วงหนึ่งต้องไปอาศัยอยู่ที่วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ ผมเคยมีโอกาสได้คุยกับ ดร.ไซเลอร์แล้วสงสารมาก” ศาสตราจารย์พิเศษศรีศักรเล่า
มาถึงตรงนี้ ต้องย้อนกลับไปถึงชีวิตของ ดร.ไซเลอร์ ซึ่งมีสีสันและน่าสนใจไม่แพ้ผลงาน จากนักวิชาการหนุ่มไฟแรงที่มีรายได้สูงจากการเป็นอาจารย์โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง ในใจกลางกรุงเทพฯ มาทุ่มเททั้งเวลาและทุนทรัพย์ส่วนตัวในการบันทึกจิตรกรรมฝาผนังทั่วไทยด้วยแรงบันดาลใจจากการชมศิลปะเลอค่าในศาสนสถานต่างๆ กระทั่งขึ้นแท่นนักวิชาการคนเดียวในโลกที่ศึกษาเรื่องรอยพระพุทธบาทอย่างจริงจังทั้งในไทยและประเทศต่างๆ ในเอเชีย
นอกจากนี้ ยังเคยเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และทำวิจัยร่วมกับนักวิชาการที่สถาบันวิจัยสังคม มช.
หลังข่าวขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์นี้เผยแพร่ออกไป อดีตลูกศิษย์ “ดร.ไซเลอร์” ต่างร่วมกันบอกเล่าถึงประสบการณ์ครั้งนั้น ว่าท่านขับรถโฟล์กเต่ามาจากกรุงเทพฯ เพื่อสอนนักศึกษา และพาออกไป “ตั้งคำถาม” อันเป็นประโยชน์ตลอดเวลา
เมืองสิงห์ จันทร์ฉาย คืออดีตนักศึกษา “เพาะช่าง” ผู้ติดตาม “ดร.ไซเลอร์” ไปทำสำเนารอยพระพุทธบาท วาดภาพลายเส้น และเป็นลูกมือใกล้ชิดนานถึง 13 ปี ปรากฏชื่อในต้นฉบับเรื่องพระพุทธบาทในศรีลังกาที่ยังไม่มีการตีพิมพ์ ในวันนี้กลายเป็นศิลปินคนดังแห่งเมืองสุพรรณบุรี บ้านเกิด
“เมืองสิงห์” เล่าให้ฟังว่า “ดร.ไซเลอร์” พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว นอกจากให้ความรู้และเทคนิคต่างๆ แล้วยัง “สะกิด” ให้เด็กหนุ่มอย่างเขาได้หันกลับมาขบคิดและเห็นคุณค่าของศิลปะไทยมากยิ่งขึ้น
“ทำงานกับท่านตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ทุกเสาร์-อาทิตย์ต้องออกไปตระเวน ดร.ไซเลอร์ ค้นคว้าและเขียนผลงานลึกมาก ส่วนผมเป็นคนทำสำเนาและเขียนภาพลายเส้น ทั้งพระพุทธบาทและจิตรกรรมทางภาคเหนือเยอะมาก ท่านดูอนาคตผมไว้แล้ว สอนให้ผมสร้างตัวตนจากสิ่งที่มีคือความเป็นคนสุพรรณฯ” ศิลปินดังย้อนความทรงจำ ก่อนบอกว่าขาดการติดต่อกับ ดร.ไซเลอร์ตั้งแต่ราว พ.ศ.2540 แต่ยังรำลึกถึงท่านอยู่เสมอ
ชีวิตในช่วงบั้นปลายของนักวิชาการท่านนี้ คล้ายยังเป็นปริศนา เพราะหายไปจากแวดวงวิชาการ ทราบเพียงว่าช่วงหนึ่งเดินทางไปพำนักในประเทศศรีลังกา, สปป.ลาวและพม่า กระทั่งเสียชีวิตอย่างสงบที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงย่างกุ้งเมื่อเย็นวันที่ 22 สิงหาคม 2561 หลังเข้ารับการรักษานานกว่า 1 เดือนเต็ม มีการจัดพิธีศพตามแบบพุทธศาสนาอย่างเรียบง่าย รายล้อมด้วยลูกศิษย์ชาวพม่าและบุคคลที่นับถือในผลงานของท่าน
แม้ตำนานชีวิต “ดร.ไซเลอร์” จะปิดฉากลง แต่ผลงานที่ทุ่มเทตลอดชีวิตยังคงอยู่ ทว่า ต้นฉบับจะถูกเก็บรักษาเป็นสมบัติชาติไทย หรือสุดท้ายต้องระเห็จไปต่างแดน เป็นอีกหนึ่งประเด็นใหญ่ที่ภาครัฐต้องหันมาร่วมพิจารณาอย่างเร่งด่วน