‘เอนก’ มอบนโยบาย อว.ยันสานงานเก่า นายกฯ สั่งเร่งเดินเครื่องงานปฏิรูปอุดมฯ

‘เอนก’ มอบนโยบาย อว.ยันสานงานเก่า นายกฯ สั่งเร่งเดินเครื่องงานปฏิรูปอุดมฯ

ปฏิรูปอุดมฯ – เมื่อวานที่ 17 สิงหาคม ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถ.ศรีอยุธยา นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการ อว.กล่าวในการแถลงนโยบายและแนวคิดยุทธศาสตร์ในการดำเนินงานขับเคลื่อน อว.ว่า ไม่คิดว่าจะได้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการ อว.แต่เมื่อมาแล้วก็ทำให้เต็มที่ แม้จะเป็นอาจารย์สายสังคมศาสตร์ แต่เริ่มต้นการเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นนักเรียนแพทย์รุ่นเดียวกับนพ.อุดม คชินทร ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) คิดว่าจะทำงานร่วมกันได้อย่างดี นโยบายต่างๆ จะต่อยอดจากของเดิม ไม่รื้อนโยบายนายสุวิทย์ เมษินทรย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการ อว.ดังนั้น ไม่มีอะไรที่คนทำงานต่อเนื่องต้องหนักใจ

นายเอนกกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ขอย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญของการศึกษา วิทยาศาสตร์ และการวิจัย เห็นได้จากงบประมาณที่ได้มากถึง 1.5 แสนล้านบาท คิดเป็นอันดับ 4 เป็นกระทรวงที่มีด็อกเตอร์มากที่สุด ดังนั้น ควรจะเป็นกระทรวงเกรดเอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะอยู่ในตำแหน่งนี้นานแค่ไหน ถ้าได้อยู่ 3 ปี ก็น่าจะพอผลักดันได้ตามเป้าหมาย

“นายกฯ เพิ่งพูดคุย และฝากงานกับผม เน้น 2 เรื่อง คือยุทธศาสตร์กับปฏิรูปอุดมศึกษา ซึ่งต้องทำให้เร็วที่สุด ดังนั้น อยากให้มั่นใจว่าผู้ใหญ่ให้ความสำคัญกับ อว.ที่เป็นงานระยะกลาง และระยะยาว แต่คนส่วนใหญ่สนใจงานเฉพาะหน้า” นายเอนก กล่าว

นายเอนกกล่าวอีกว่า มี 2-3 เรื่องที่ขอให้เร่งดำเนินการ คือจะทำอย่างไรให้ อว.เป็นกระทรวงขับเคลื่อนนวัตกรรมแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 และจัดการกับปัญหาได้ดีที่สุด เป็นกระทรวงที่ช่วยทุเลาปัญหาการว่างงาน จัดทำโครงการเพิ่มทักษะบัณฑิตจบใหม่ ด้านทักษะดิจิทัล และเรียนรู้ในสถานที่ทำงานจริง โดยให้ทุนการศึกษากับบัณฑิตจบใหม่ 250,000 คน ที่สมัครใจเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพพิเศษ ที่เน้นพัฒนาทักษะการใช้ดิจิทัล เทคโนโลยี หรือ Digtal Literacy หลักสูตร 1 ปี จบแล้วเข้าทำงานโครงการบัณฑิตอาสาเพื่อพัฒนา Digtal Literacy ให้ประชาชนในพื้นที่ หรือต่อยอดความรู้ไปสู่อาชีพใหม่ เน้นการปฎิบัติจริงกับภาคเอกชนที่ต้องการจ้างงาน หรือรัฐวิสาหกิจชุมชน

Advertisement

“ขณะเดียวกันอยากเห็นพลังเยาวชน ซึ่งขณะนี้มีหลายฝ่ายที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เข้ามามีส่วนช่วยเป็นพลังสำคัญในการพัฒนา อว.โดยจะเชิญแกนนำนักศึกษา เยาวชน เข้ามาคุย เพื่อให้เป็นพลังสำคัญของบ้านเมือง และอยากให้ อว.ผลักดันงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีของไทยให้สูงขึ้น ให้เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ซึ่ง อว.จะต้องทำงานหนัก และสร้างสรรค์ ทั้งนี้ ภายใน1-2 เดือน จะต้องกำหนดทิศทาง อว.เป็นกระทรวงแห่งการพัฒนา เป็นกระทรวงที่มีงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ขณะเดียวกันต้องสอนคนให้ออกไปแล้วมีงานทำมากขึ้น และต้องเป็นงานที่ดี ตรงนี้ต้องไปดูว่าจะทำอย่างไร” นายเอนก กล่าว

นายเอนกกล่าวต่อว่า ขณะนี้นายกฯ ได้ตั้งคณะกรรมการพัฒนาจังหวัดขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีแต่ละคนเป็นที่ปรึกษา 2-3 จังหวัด ตนเป็นที่ปรึกษา จ.ลำปาง และ จ.เลย ดังนั้น จึงสั่งการให้ปลัด อว.ตั้งคณะกรรมการสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน เพื่อเป็นที่ปรึกษาของแต่ละจังหวัดให้ได้ ถ้า อว.ทำได้ ปีหน้าน่าจะได้งบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งตนอยากให้เร็ว ดังนั้น แต่ละคนต้องไปจัดระบบเพื่อให้รัฐบาล และนายกฯ เห็นว่า อว.มีประโยชน์ วิจัย หรือทำอะไรแล้วใช้ได้จริง

“อีกเรื่องที่อาจต้องใช้เวลา คือการฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ได้สั่งการให้ทำแผนภายใน 1 เดือน ให้มหาวิทยาลัยทั้งรัฐ และเอกชนกว่า 200 แห่ง เป็นหน่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ที่สำคัญเข้ามาช่วยหนุนวิสาหกิจชุมชน จัดซื้อจัดจ้างที่สนับสนุนการจัดซื้อของไทย” นายเอนก กล่าว

Advertisement

นายเอนกกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ มีแนวนโยบายที่อยากให้เร่งดำเนินการ 3 เรื่องใหญ่ คือ 1.การปรับปรุงระเบียบกฎหมาย กฎเกณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการทำวิจัย เช่น การแก้ไขระเบียบจัดซื้อจัดจ้างเกี่ยวกับการทำวิจัย กลไกการทดลองการปลดล็อกกฎหมายต่างๆ และแก้ระเบียบให้ผู้รับทุนได้เป็นเจ้าของผลงานวิจัย ทั้งหมดนี้ขอให้เสร็จภายใน 6 เดือน 2.การปฏิรูปอุดมศึกษา เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงพัฒนา และยกระดับทักษะคนวัยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มอาจารย์ โดยอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่งนายกฯ ต้องการให้ปฏิรูปการศึกษา และอุดมศึกษา ให้ได้มาก และเร็วที่สุด และ 3.การจัดระบบการทำงานของสำนักปลัด อว.ได้มอบหมายให้ปลัด อว.ดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 เดือน คือจัดตั้งคณะทำงานคาดการณ์อนาคต หรือ Foresight team เพื่อสร้างฉากทัศน์ด้านนโยบายที่หลากหลายรูปแบบรองรับสถานการณ์ต่างกัน เพื่อจะปรับเปลี่ยนแนวนโยบาย และแผนงานให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเอาประชาชน และผลสัมฤทธิ์เป็นที่ตั้งเสมอ

นายเอนกกล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันยังมีนโยบายให้รวมหน่วยจัดสรรทุนวิจัยที่มีอยู่ 3 หน่วยงาน คือ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน, หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่
ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ให้เป็นองค์การมหาชน นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับเกษตรกรรม และอยากให้ดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image