ศธ.สั่งร.ร.ในสังกัดกว่า 4.4 หมื่นแห่งเปิดเทอม 14 มิ.ย. นักวิชาการค้าน หวั่นทำการศึกษาถอยหลัง
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ศธ. ขอให้สถานศึกษาในสังกัด ประกอบด้วย สถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กว่า 30,000 แห่ง สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 900 แห่ง สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กว่า 4,100 แห่ง และสถานศึกษาในสังกัดสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กว่า 9,000 แห่ง เลื่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จากเดิมที่เปิดวันที่ 1 มิถุนายน เป็นวันที่ 14 มิถุนายน
นายสุภัทร กล่าวต่อว่า หากสถานศึกษาใดมีความพร้อมและประสงค์ที่จะเปิดก่อนที่ ศธ.กำหนด ให้สถานศึกษาดำเนินการ ดังนี้ โรงเรียนหรือสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ให้จัดการสอนได้เฉพาะรูปแบบการจัดการศึกษาทางไกล คือ On-Air, On-Line และ On-Hand เท่านั้น ส่วนโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือพื้นที่ควบคุม ให้ขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อขอใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษาจัดการเรียนการสอนโดยจัดการเรียนการสอนได้ทั้ง 5 รูปแบบ คือ On-Site, On-Air, On-Line, On-Hand และ On-Demand โดยเลือกตามความเหมาะสมหรืออาจจะผสมผสานตามความพร้อมของผู้เรียน
“โรงเรียนที่ต้องการเปิดก่อน จะต้องทำการประเมินความพร้อมตามระบบ Thai Stop COVID Plus ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่มี 44 ข้อโดยต้องผ่านทุกข้อ พร้อมกับสำรวจว่านักเรียน และครูทุกคนเดินทางมาเรียนโดยไม่ใช้รถสาธารณะทุกคน และอำเภอที่ตั้งสถานศึกษาจะต้องไม่มีผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 มาเป็นระยะเวลา 14 วัน สถานศึกษาถึงสามารถขออนุญาตเปิดเทอมก่อนวันที่ 14 มิถุนายนได้” นายสุภัทร กล่าว
ปลัดศธ.กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ ศธ.เลื่อนวันเปิดภาคเรียน เพราะกังวลความปลอดภัยของนักเรียน เนื่องจากครูยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจำนวนมาก และเราไม่สามารถควบคุมเด็กได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องเลื่อนเปิดภาคเรียนออกไป ขณะนี้ ศธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ครู เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยทางจังหวัดจะเป็นผู้บริหารจัดสรรและจะเรียกครูมาฉีควัคซีนเอง
ด้านนายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชากการด้านการศึกษา กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกแรก และระลอกสอง ศธ.ยังไม่มีข้อมูและไม่มีองค์ความรู้ จึงตัดสินใจแบบปูพรม คือสั่งปิดสถานศึกษาทั้งหมด แต่เมื่อโควิด-19 ระบาดระลอกสาม ศธ.ต้องปรับตัวอยู่กับโควิด-19 ให้เป็น ไม่ใช่ตื่นตระหนก ดังนั้นการสั่งปิดเรียนแบบปูพรมโดยสั่งให้สถานศึกษาเปิดภาคเรียนจากวันที่ 1 มิถุนายน เป็นวันที่ 14 มิถุนายน จะทำการศึกษาถอยหลังไปอีก ศธ.ควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ให้ได้ และสร้างความเข้าใจไม่ให้นักเรียน ผู้ปกครอง ครู และผู้บริหารตื่นตระหนกในเรื่องนี้ คนในวงการการศึกษาโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ต้องไม่ตื่นตระหนกและกลัวจนเกินเหตุ มองว่า ศธ.ต้องบรูณาการทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เพื่อจัดการศึกษาร่วมกัน
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้นักเรียนไม่สามารถเรียนในห้องเรียนได้ ดังนั้น ศธ.ต้องผลักดันการเรียนรู้ให้กระจายออกไปในรูปแบบต่างๆ เช่น การเรียนรู้ทางอินเตอร์เน็ต การเรียนรู้กับชุมชน การเรียนรู้จากผู้ปกครอง และการเรียนรู้จากโรงเรียน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งจะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้แบบแอคทีฟเลินนิ่ง และไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 แต่ศธ.กลับมองว่าการเรียนในห้องเรียนยังมีความสำคัญ จึงสั่งการนโยบายแบบท๊อปดาวน์ลงไป
“ถ้าศธ. ยังคิดว่าเด็กต้องเรียนในห้องเรียนเป็นหลัก ต้องเรียนตามหลักสูตรที่กำหนด ผลที่ตามมาคิด ศธ.ก็จะสั่งปิดสถานศึกษาและสั่งเลื่อนเปิดเทอมอยู่เรื่อยๆ ผมมองว่า ศธ.ห่วงเกินเหตุ ไม่มองกระบวนการเรียนรู้ที่มีอยู่ เพราะปัจจุบันกระบวนการเรียนรู้ไม่ได้อยู่ที่ห้องเรียนอย่างเดียว ดังนั้น ควรให้แต่ละจังหวัดออกแบบการศึกษาให้เหมาะสมกับพื้นที่ โดยกำหนดรูปแบบกว้างๆของการเรียนรู้ให้จังหวัดไปปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนขอเสนอให้ ศธ.กระจายอำนาจให้จังหวัดจัดการและบริหารการศึกษาของตน โดยอาจจะกระจายนักเรียนที่เรียนแออัดอยู่ในเมือง กระจายให้นักเรียนไปเรียนในโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยจำกัดไม่เกิน 20 คนต่อห้อง โดยรวบรวมครูไว้ในส่วนกลางและกระจายครูไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งจะทำให้การศึกษามีความเท่าเทียมกับมากขึ้น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) อาจจะเข้ามาช่วยสนับสนุนเรื่องต่างๆ เช่น สนับสนุนอินเตอร์เน็ตให้มีความเร็วมากขึ้น สนับสนุนค่าเดินทางครู เป็นต้น
“การเลื่อนเปิดเทอมบ่อยๆ ไม่เป็นผลดีกับการศึกษา ไม่ได้ลดเรื่องความปลอดภัยด้วย ศธ.ควรจะเร่งฉีดวัคซีนให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษาให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่เลื่อนเปิดภาคเรียน และที่สำคัญผมมองว่า น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. พูดเรื่องการผลักดันให้ครูได้รับการฉีดวัคซีนมาเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว แต่ทำไมใช้เวลานานมาก มีปัญหาติดขัดอะไร ทำไมครูยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเสียที ซึ่งผมมองว่า ถ้า ศธ.เลื่อนเปิดเทอมเป็นรอบที่ 3 นักเรียนอาจจะมาเรียกร้องและประท้วง ศธ.ถึงหน้ากระทรวงแน่” นายสมพงษ์กล่าว