เด็กเกิดใหม่ฮวบ สัญญาณอันตราย
กลายเป็นทั้งประเด็นฮือฮา ชวนจับตา และหวาดหวั่นในสถานการณ์ข้างหน้าจนต้องเร่งหาทางแก้ไขไปพร้อมๆ กัน สำหรับกรณีที่มีการเปิดเผยข้อมูลว่านี่คือครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่อัตราการเกิดของคนไทยลดต่ำกว่า 6 แสนคนต่อปี ทั้งยังมีแนวโน้มลดลงไปอีก โดยเฉพาะในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า
ย้อนกลับไปดูบรรยากาศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำว่า “สังคมผู้สูงวัย” เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งภาพกว้างของโลกรวมถึงประเทศไทย
ครั้นเมื่อข้อมูลในย่อหน้าแรกถูกตีแผ่
ยิ่งต้องขีดเส้นใต้เน้นย้ำให้ตั้งคำถามถึงสิ่งที่จะตามมาเป็นโดมิโน
ก่อนอื่น มาโฟกัสข้อมูลชัดๆ จาก ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเปิดเผยผ่านเสวนา “50 ปี ประชากรที่เปลี่ยนไป” เมื่อไม่นานมานี้ ว่า 50 ปีที่ผ่านมา ต้องถือว่าสถานการณ์ประชากรไทยเปลี่ยนแปลงไปมากมาย โดยใน พ.ศ.2513 ไทยมีประชากร 34.4 ล้านคน เมื่อมาถึงปี 2564 ไทยมีประชากรเพิ่มเป็น 66.5 ล้านคน
เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรไทย จากปรากฏการณ์คนเกิดน้อยลง และคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น โดยข้อมูลพบว่า ในอดีตไทยมีสัดส่วนประชากรเด็กเป็นส่วนใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 45 หรือเกือบครึ่งของประชากรทั้งหมด แต่ปัจจุบันประชากรเด็กมีสัดส่วนร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด ขณะเดียวกันแต่ก่อนประชากรสูงอายุมีน้อยมาก ประมาณร้อยละ 4.9 แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนร้อยละ 18 หรือเรียกว่าเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์แล้ว และอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ไทยจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด คือมีสัดส่วนประชากรสูงอายุมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด
“เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่อัตราการเกิดของคนไทยลดต่ำกว่า 6 แสนคนต่อปี ข้อมูลปี 2563 พบว่ามีเด็กไทยเกิด 5.8 แสนคนต่อปี และคาดการณ์ว่าจะมีทิศทางลดลงไปอีก โดยเฉพาะไม่เกิน 10 ปีจากนี้ อัตราการเกิดคนไทยจะลดลงต่ำกว่า 5 แสนคนแน่นอน ขณะที่ปัจจุบันไทยมีอัตราการเพิ่มของประชากรอยู่ที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี หรือแทบจะไม่เพิ่มเลย ต่างจากในอดีตอยู่ที่
ร้อยละ 3 ต่อปี” ศ.เกียรติคุณ ดร.ปราโมทย์กล่าว ก่อนนำสถิติจากกระทรวงสาธารณสุข และสำนักบริการการทะเบียน กระทรวงมหาดไทยมานำเสนอให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แนวโน้มอัตราการเกิดและอัตราการตายของประเทศไทย จะมาเท่ากันประมาณปี 2567 จากนั้นอัตราการตายจะสูงกว่าอัตราการเกิด
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เรื่องน่าตกอกตกใจแต่อย่างใด เพราะอัตราการเกิดน้อย ไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของการเกิด เช่น การเกิดจากความตั้งใจ เกิดอย่างมีแผน เพื่อปูทางสู่การเป็นประชากรที่มีคุณภาพ ส่วนข้อกังวลว่าจะทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในอนาคต ศ.เกียรติคุณ ดร.ปราโมทย์มองว่า สามารถหาแรงงานประเทศเพื่อนบ้านมาทดแทนได้ อีกทั้งใช้ เครื่องจักร เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์มาเสริมได้
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ ประชากรรุ่นเกิดเกินล้านคนต่อปี หรือเกิดระหว่างปี พ.ศ.2506-2526 พบว่า 2 ปีข้างหน้า จะทยอยเข้าสู่วัยสูงอายุจนหมดปีละเกือบ 2 ล้านคน ในเวลา 20 ปี จะทำอย่างไรต่อไป
ขณะที่ รศ.ดร.ธีระ สินเดชารักษ์ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมองว่า สถานการณ์ เด็กเกิดน้อยจะเขย่าประเทศทั้งระยะสั้น-ยาว จำนวนคน ครอบครัว สภาพสังคม จะเปลี่ยนไป
“ในปี พ.ศ.2554 เรายังมีตัวเลขการเกิดสูงเกือบ 8.5 แสนคน ในขณะที่ 10 ปีผ่านไป ตัวเลขการเกิดต่ำกว่า 5.5 แสนคน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ตัวเลขการเกิดลดลงมากกว่า 1 ใน 3 โดยใช้เวลาเพียง 10 ปีเท่านั้น อีกทั้งยังมีการคาดการณ์กันอีกด้วยว่า จากจำนวนประชากรไทยในปัจจุบันที่มีไม่ถึง 70 ล้านคนนี้นั้น จะลดลงมาเหลือเพียงครึ่งเดียวคือไม่เกิน 35 ล้านคน หรือคนไทยเราจะหายไปครึ่งหนึ่งเพราะเด็กเกิดใหม่น้อย ในขณะที่มีคนสูงอายุที่จะทยอยกันตายไปตามอายุขัยภายในเวลาไม่ถึง
100 ปี ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้น
เฉพาะประเทศไทย ในหลายประเทศก็อยู่ในภาวการณ์เช่นเดียวกัน
ผลกระทบระยะสั้น คือ คนจะลดลง ส่งผลให้อะไรก็ตามที่ตระเตรียมไว้สำหรับการรองรับคนจำนวนที่มากขึ้นหรือเพิ่มขึ้นก็จะไม่เป็นเช่นนั้น เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย ธุรกิจร้านค้าและบริการต่างๆ ภาคอุตสาหกรรมรวมถึงเกษตรกรรมจะขาดแคลนแรงงาน การลงทุนไปกับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการใช้งานสำหรับคนจำนวนมากๆ จะเสียเปล่า ครอบครัวจะเปลี่ยนไป ครอบครัวขยายจะหายไปกลายเป็นครอบครัวเดี่ยวที่อยู่กันไม่กี่รุ่น การอยู่ลำพังและตายจากอย่างโดดเดี่ยวหรือมีแต่เพื่อนญาติห่างๆ จะมีมากขึ้น ความสัมพันธ์ของคนระหว่างรุ่นที่จะถูกถ่างขยายออกมากขึ้นด้วยสาเหตุจากการเลื่อนอายุสมรส การอยู่เป็นโสด หรือความไม่พร้อมในการมีบุตร รวมถึงความต้องการชีวิตส่วนตัวและมีอิสระมากขึ้น” รศ.ดร.ธีระกล่าว
แน่นอนว่า อีกหนึ่งผลกระทบที่จะตามมาคือ การเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่ง รศ.ดร.ธีระคาดการณ์ว่า นอกจากความสำคัญของเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตแล้ว การที่คนลดน้อยลง มีความเป็นไปได้ 2 ทางคือ หากไม่เกิดการรวมกลุ่มใช้ชีวิตทางสังคมร่วมกันมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์กันบนโลกเสมือนแทนกันมากยิ่งขึ้น สังคมจะถูกผลักให้ออกห่างจากกันมากขึ้นด้วยความไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันดังเช่นสังคมในอดีตที่ใกล้ชิดในเชิงเครือญาติ
ส่วนผลกระทบระยะยาวนั้น จะเกิด
ภาวการณ์หลายอย่างที่ต้องเตรียมรับมือ เช่น ปัญหาความมั่นคง ขาดทรัพยากรมนุษย์ในการพัฒนาประเทศ ปัญหาทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
“ผมเข้าใจว่ารัฐบาลทุกชุดรับทราบสถานการณ์นี้ดี แต่ยังไม่สู้จะมีนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนและต่อเนื่องเด็ดขาด จนเมื่อได้เห็นตัวเลขการเกิดที่ลดลงและต่ำกว่าการตายจึงเริ่มที่จะเป็นกระแสอีกครั้ง สิ่งที่สามารถทำได้และหลายประเทศได้ดำเนินการไปก่อนหน้ามีหลายอย่าง เช่น ส่งเสริมการเกิดผ่านมาตรการจูงใจทางภาษี สนับสนุนให้มีบุตรโดยรัฐดูแลค่าใช้จ่ายในการคลอดและสงเคราะห์บุตร ให้ทุนการศึกษา ให้สิทธิการเลี้ยงดูบุตรโดยได้รับเงินเดือนทั้งพ่อและแม่ ส่งเสริมการสร้างสัมพันธ์ทำความรู้จักก่อนเข้าสู่การทำงาน กองทุน หรือรูปแบบอื่นใด เพื่อให้ใช้ชีวิตในยามสูงวัยอย่างมีอัตภาพและคุณภาพ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดโดยส่วนตัวในการตั้งรับและเตรียมรุกสำหรับสถานการณ์นี้คือ กรอบความคิด (mindset)” รศ.ดร.ธีระกล่าว
ประเด็นเรื่องกรอบความคิดที่ว่านี้ พูดง่ายๆ ก็คือ ทัศนคติต่อการมีลูก ซึ่งนักวิชาการท่านนี้มองว่า หลายสิบปีที่ผ่านมา เกิดความคิดในทำนองว่า การมีลูกเป็นภาระ ลูกมากยากจน เกิดวลี “รักสนุกแต่ไม่ผูกพัน” และอีกหลายวาทะที่อยู่ในความรับรู้ของคนยุคพ่อแม่ถ่ายทอดสู่คนรุ่นใหม่
“การปรับเปลี่ยนกรอบคิดจึงความสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ไม่เพียงเพื่อให้ประชากรกลับมาอยู่ในภาวะสมดุลหรืออยู่ในระดับภาวะทดแทนได้ แต่ยังช่วยให้เห็นสังคมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยประชากรที่เกิดมาใหม่นั้นเป็นพลังบวกและเป็นความหวังให้กับคนรุ่นก่อนได้อีกด้วย แม้ไม่อาจทำให้เปลี่ยนได้ในทันทีแต่ต้องเริ่มในทันที” รศ.ดร.ธีระกล่าวทิ้งท้าย