‘ตรีนุช’ เผย ร.ร.ทั่วประเทศพร้อมเปิดออนไซต์ 100% เร่งเดินหน้าแก้ไขภาวะการเรียนรู้ถดถอย 

‘ตรีนุช’ เผย ร.ร.ทั่วประเทศพร้อมเปิดออนไซต์ 100% เร่งเดินหน้าแก้ไขภาวะการเรียนรู้ถดถอย 

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม  ที่โรงเรียนพญาไท กรุงเทพมหานคร น..ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวการเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยมี นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดศธ. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย และผู้บริหารระดับสูงของ ศธ. เข้าร่วม ว่า ศธ.เตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มาตลอด โดย ศธ.จะการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไซต์เป้นหลัก โดยจะต้องการสร้างความมั่นใจให้แก่นักเรียน ครู ผู้ปกครอง ซึ่งในด้านความปลอดภัย ศธ.ได้ เน้นย้ำให้สถานศึกษาทุกสังกัดเตรียมความพร้อม ตามแนวทางการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 สำหรับการเปิดเรียนออนไซต์ จะเปิดด้วยหลักการ “ตัดความเสี่ยง สร้างภูมิคุ้มกัน” ซึ่งทุกสถานศึกษาต้องทำการประเมินตนเองในการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดเรียน นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาต้องประเมินความเสี่ยงตนเองเป็นประจำ สถานศึกษาต้องตรวจคัดกรอง เฝ้าระวังอย่างเหมาะสม ฉีดวัคซีนให้กับ ครู บุคลากร ผู้ปกครอง และให้เด็กอายุ 5-18 ปี ได้รับวัคซีนโควิด19 ตามเกณฑ์ ซึ่งขณะนี้เด็กอายุ 5-17 ปี ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นมากกว่า 97% แล้ว ส่วนเด็กอายุระหว่าง 5 -11 ปี อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการฉีดแล้ว 

“ขอให้ผู้ปกครองเชื่อมั่นว่าแม้จะมีการเปิดภาคเรียนแล้ว แม้จะมีการประเทศ สถานศึกษาต้องปฏิบัติตามมาตรการสร้างความปลอดภัย 6-6-7 ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด มีการเว้นระยะห่างเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุรองรับเมื่อพบผู้ติดเชื้อในสถานศึกษาจะทำอย่างไร รวมถึงการเตรียมพร้อม School Isolation ด้วย ซึ่งขณะนี้สถานศึกษาได้เตรียมความพร้อมเรียบร้อยแล้ว จึงค่อนข้างมั่นใจว่าภาคเรียนที่ 1/2565 นี้ สถานศึกษาในสังกัด ศธ. กว่า 35,000 สามารถเปิดเรียนออนไซต์ได้ 100%”น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า 

รัฐมนตรีว่าการ ศธ. กล่าวต่อว่า ในด้านการสร้างความมั่นใจต่อคุณภาพทางการศึกษานั้น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 1- 2 ปีที่ผ่านมาก่อให้เกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอยเกิดขึ้นกับนักเรียนในทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งในปีการศึกษา 2565 นี้ ศธ.มุ่งเน้นให้เป็นปีแห่งการเสริมสร้างการศึกษา เพื่อเดินหน้าแก้ไขภาวะถดถอยทางการเรียนรู้อย่างจริงจัง โดยเร่งฟื้นฟูการเรียนรู้ช่วงที่สูญเสียไปให้คืนกลับมาเร็วที่สุดอย่างเป็นระบบ โดยให้ความสำคัญกับผู้เรียนเป็นหัวใจ ด้วยการนำแนวทางการเรียนรู้แบบ Active Learning มาการขับเคลื่อนการเรียนการสอนใน 3 มิติ คือ การเสริมสร้างความรู้ การสร้างทักษะที่เข้มข้น และการส่งเสริมทักษะชีวิต หรือทักษะทางสังคม โดยจะมีการเตรียมความพร้อม หรือการปรับพื้นฐานก่อนเรียน เพื่อค้นหาช่องว่างของเด็กในการออกแบบการเรียนการสอนที่มีคุณภาพอย่างเหมาะสม

Advertisement

ด้านนพ.โอภาส กล่าวว่า ภาพรวมการติดเชื้อโควิด-19 มีแนวโน้มลดลง ในเดือนพฤษภาคมถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องผลักดันให้สถานศึกษาเปิดเรียนรูปแบบออนไซต์ให้ได้ และต้องเปิดสถานศึกษาจะต้องก่อนที่ผับ บาร์ คาราโอเกะด้วย เพราะถ้าไม่สามารถเปิดเรียนแบบออนไซต์ได้ คงจะประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นไม่ได้  ทั้งนี้สธ. วางมาตรการเปิดภาคเรียนไว้ 3 ระดับ คือ 1.การฉีดวัคซีนให้ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนทุกคน โดย สธ.รวมกับ ศธ. เตรียมวัคซีนพร้อมทุกสูตรสำหรับให้บริการในทุกพื้นที่ เพื่อเตรียมเปิดภาคเรียน สำหรับการฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมาย  มีดังนี้ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ในกลุ่มอายุ 12-17 ปี ให้ฉีดผ่านระบบสถานศึกษา โดยฉีดไฟเซอร์เข็มกระตุ้นขนาดครึ่งโดส ส่วนการฉีดผ่านสถานพยาบาล ให้ฉีดไฟเซอร์เข็มกระตุ้นขนาดเต็มโดส หรือครึ่งโดส ส่วนการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 ในกลุ่มเป้าหมายอายุ 5-11 ปี มีสูตรให้ผู้ปกครองเลือกดังนี้ สูตรไฟเซอร์ 2 เข็ม ระยะห่างในการฉีด 8 สัปดาห์ สูตรไขว้ คือ ซิโนแวคไฟเซอร์ (ระยะห่างการฉีด 4 สัปดาห์) ซึ่งผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าเด็กที่ฉีดวัคซีนสูตรไขว้ ซิโนแวคไฟเซอร์ มีภูมิต้านทานสูง ไม่ต่างจากการฉีดวัคซีนในกลุ่มฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม ซึ่งขณะนี้ทราบว่ามีผู้ปกครองประสงค์ที่จะให้บุตรฉีดวัคซีนสูตรไขว้ประมาณ 200,000 รายแล้ว 

“2.การคัดกรอง ที่สำคัญคือต้องคัดกรองนักเรียนตามอาการ ถ้านักเรียนที่มีอาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ควรจะให้นักเรียนเหล่านี้อยู่บ้าน ยกเว้นมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น สอบคัดเลือก สอบเลือกระดับ เป็นต้น การตรวจ ATK ไม่มีความจำเป็นแล้ว ยกเว้นจะตรวจนักเรียนที่มีความเสี่ยงเพื่อคัดกรองเบื้องต้น และ 3.เมื่อพบบุคลากรและนักเรียนติดโควิด-19 สธ.มีนโยบาย 3 พอ มารองรับ คือ หมอพอ เตียงพอ ยาและเวชภัทณ์พอ จึงขอเน้นย้ำว่าสถานศึกษามีความพร้อมที่เปิดภาคเรียนในทุกระดับ” นพ.โอภาส กล่าว 

นพ.สราวุฒิ กล่าวว่า มาตรการเตรียมพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2565 คือ ให้สถานศึกษาประเมินตนเองผ่าน TSC+ นักเรียนอายุ 12-17  ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น และเร่งฉีดวัคซีนโควิดในเด็กอายุ 5-11 ปี ตามความสมัครใจของผู้ปกครองและเด็ก นักเรียน ครู บุคลากร ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากาก ล้างมือ ตรวจหาเชื้อด้วย ATK หรือมีอาการเสี่ยง 

Advertisement

นพ.สราวุฒิ  กล่าวต่อว่า กรณีครูและนักเรียนที่มีความเสี่ยงสูง ถ้าไม่ได้รับวัคซีนโควิด ตามแนวทางปัจจุบัน ทั้งมีอาการ และไม่มีอาการ แนะนำให้กักตัวเป็นเวลา 5 วัน และติดตามเฝ้าระวัง 5 วัน กรณีที่ได้รับวัคซีนครบตามคำแนะนำปัจจุบัน แต่ไม่มีอาการ ไม่แนะนำให้กักกันตัว พิจารณาให้มาเรียนได้ โดยตรวจคัดกรองหาเชื้อด้วย ATK แต่ถ้ามีอาการ ให้ตรวจทันทีหลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ พร้อมกับตรวจในวันที่ 5 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อและตรวจครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ ให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร พร้อมกับประสานหน่วยบริการสาธารณสุขตามระบบงานอนามัยของโรงเรียน และกรณีที่นักเรียน และครู เป็นผู้ติดเชื้อ ให้แยกกักตัวที่บ้าน หรือให้คณะกรรมการสถานศึกกษา หน่วยงานสาธารณสุขและคณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัด พิจารณาจัดทำ School Isolation ในสถานศึกษา ส่วนกลุ่มคนที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ อาจจะจัดรูปแบบการเรียนการสอนให้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ต้องทำความสะอาดห้องเรียน ชั้นเรียน สถานศึกษาด้วย 

ด้านนายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียน 3 ด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้ปกครอง คือ 1. สถานศึกษาต้องมีความปลอดภัยในทุกมิติ 2.ปีการศึกษา 2565 เป็นปีแห่งการซ่อมสร้างและลดภาระผู้ปกครองในทุกมิติ ดังนั้น สถานศึกษาจะต้องไม่เพิ่มภาระกับผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งกาย อุปกรณ์การเรียนการสอน และต้องช่วยลดภาระกับผู้ปกครอง หากพบสถานศึกษาใดเพิ่มภาระให้ผู้ปกครอง ให้ประชาชนแจ้งเรื่องมาที่ สพฐ.โดยตรง สพฐ.จะเร่งตรวจสอบให้ครบทุกมิติ และ 3.การฉีดวัคซีน ขอให้ผู้ปกครองเร่งฉีดวัคซีนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้นักเรียนอีกทางด้วย 

“ส่วนการแก้ปัญหาภาวะการเรียนรู้ถดถอย  ผมเน้นย้ำสถานศึกษาในสังกัดไปว่าเมื่อเปิดภาคเรียน ต้องตรวจสุขภาพอนามัย และดูแลสภาพจิตใจนักเรียนก่อน จากนั้นจะนำเครื่องมือไปประเมินเด็ก ว่าเด็กขาดความรู้ด้านในบ้าง เช่น ในระดับชั้น ป.1-3 จะเน้นเสริมสร้างให้เด็กอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น เพราะถือเป็นเรื่องพื้นฐานให้เด็กสามารถต่อยอดเรียนรู้เรื่องต่างๆได้ แต่ถ้าประเมินแล้วพบว่าเด็กมีความสามารถด้านอื่น จะต่อยอดและเติมความรู้ด้านที่เด็กถนัดด้วย ดังนั้นในปีการศึกษา 2565 จะเป็นปีที่ทำแผนการเรียนส่งเสริมนักเรียนเป็นรายบุคคล” นายอัมพร กล่าว

ด้านนายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) วางแผนแก้ไขปัญหาลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ดังนั้น 1. เติมทักษะที่ขาดหายให้กับนักศึกษาที่เรียนในปัจจุบัน โดยให้ครูผู้สอนแบ่งกลุ่มให้นักศึกษาเข้ามาเรียนเพิ่มเติมในวันเสาร์และอาทิตย์ 2.ส่วนนักศึกษาที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาและจะไปเรียนต่อในระดับชั้นอื่น ที่อาจจะมีความรู้ขาดหายบางส่วน ให้ใช้ระยะเวลาก่อนเปิดภาคเรียน และวันเสาร์-อาทิตย์ จัดสอนเสริมเพิ่มทักษะที่จำเป็นตามความเหมาะสม และ 3.เสริมทักษะให้นักศึกษาใหม่ โดยใช้วันเสาร์-อาทิตย์ ก่อนเปิดภาคเรียนให้นักเรียนมาเรียนเสริมพื้นฐาน เตรียมพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image