ยกเคสครูพละเก็บเงินแก้เกรด ‘สพฐ.’ กำชับ ร.ร.ให้ ‘0 ร มส.’ ตามมาตรฐาน ห่วงผปค.เข้าใจผิด

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพนักเรียน ตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มุ่งเน้นส่งเสริมสวัสดิภาพนักเรียน ยกระดับคุณภาพการศึกษา รวมถึงการลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง เพื่อให้นักเรียนมาโรงเรียนอย่างมีความสุข ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเต็มตามศักยภาพ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่กระทำต่อนักเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังเช่นข่าวที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง เรียกเก็บเงินจากเด็กนักเรียนเพื่อให้แก้คะแนนที่ติด ร ไม่เช่นนั้นจะไม่ลงระบบแก้คะแนนให้ ถึงแม้จะไม่ใช่สถานศึกษาในสังกัด สพฐ.ก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่ สพฐ.มีความห่วงใยและต้องการกระตุ้นเตือนหน่วยงานในสังกัดให้มีการเฝ้าระวังและกำชับผู้ปฏิบัติงานให้ดำเนินการตามมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ โดยเฉพาะเรื่องการให้คะแนนผลการเรียนของนักเรียน ซึ่ง สพฐ.มีแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องนี้อยู่แล้ว และไม่มีนโยบายที่จะเรียกเก็บเงินจากนักเรียนหรือผู้ปกครองในทุกกรณี

ว่าที่ร้อยตรีธนุกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สพฐ.ได้มีหนังสือซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้และการสอนซ่อมเสริม โดยมีเจตนากระตุ้นให้สถานศึกษากำกับ ติดตาม ช่วยเหลือ สอนซ่อมเสริมและดำเนินการวัดและประเมินผลกรณีนักเรียนมีผลการเรียนไม่สมบูรณ์ (ติด ๐ ร มส.) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งผู้เรียนและผู้สอน เพื่อให้การเรียนดีขึ้น ลดปัญหาของผู้เรียนในการติด ๐ ร มส. โดยการที่นักเรียนจะได้รับการตัดสินผลการเรียน ต้องมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1.เวลาเรียน ซึ่งกำหนดให้ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียน เป็นการมุ่งหวังให้ผู้สอนมีเวลาในการพัฒนาผู้เรียน และเติมเต็มศักยภาพของผู้เรียน และเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ 2.คะแนนการประเมินระหว่างเรียนและคะแนนปลายปี/ปลายภาค ซึ่งการประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้นั้น เป็นการประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะ เจตคติ ทักษะการคิด ที่กำหนดอยู่ในมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดต่อไป ซึ่งการกำหนดสัดส่วนคะแนนระหว่างเรียนกับคะแนนปลายปี/ปลายภาค ให้ความสำคัญของคะแนนระหว่างเรียนมากกว่าคะแนนปลายปี/ปลายภาค เช่น 60:40, 70:30, 80:20 เป็นต้น

“เมื่อเกิดเหตุดังกล่าว แม้ไม่ใช่สถานศึกษาในสังกัด สพฐ. แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีความห่วงใยว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชนได้ จึงกำชับให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และสถานศึกษาทุกแห่ง เร่งทำความเข้าใจกับนักเรียนและผู้ปกครองได้รับรู้รับทราบข้อเท็จจริง รวมถึงป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบจากประเด็นดังกล่าวได้ และขอให้สาธารณชนมั่นใจว่า สพฐ.จะกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งผู้เรียนและผู้สอน” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image