10 ปี รัฐประหาร ‘นักวิชาการ’ ชี้ ทำการศึกษาล้าหลัง จี้ รัฐบาลจริงใจแก้ปัญหา

10 ปี รัฐประหาร ‘นักวิชาการ’ ชี้ ทำการศึกษาล้าหลัง จี้ รัฐบาลจริงใจแก้ปัญหา

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ วันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา นับเป็นวันครบรอบ 10 ปี คสช. ซึ่ง 10 ปี ที่ผ่านมาทำให้ประเทศไทยหยุดนิ่ง อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารเมื่อปี 2557นั้ มีการสัญญาว่าจะปฏิรูปการศึกษาด้วย ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศเผชิญสถานการณ์สำคัญ 2 เรื่อง คือ การรัฐประหาร และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สังคมและประเทศไทยล้าหลัง หยุดนิ่ง เหลื่อมล้ำ เกิดสภาวะถดถอย ผลงาน 10 ปีที่ผ่านมา มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีที่ชวนตั้งคำถาม คือ การกำหนดค่านิยม 12 ประการ การดึงประวัติศาสตร์ออกมาเป็นวิชาเฉพาะ เกิด พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562, พ.ร.บ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566

นายสมพงษ์ กล่าวว่า ส่วน 10 ปีที่ผ่านมา เราเสียอะไรบ้างนั้น เราเสียเวลา เราเสียงบประมาณเป็นพันล้านในด้านการศึกษา เราเสียโอกาสของประเทศ เสียคนรุ่นนี้ คือ คุณภาพของคนน่าเป็นห่วง จะเห็นว่า 10 ปีที่ผ่านมา กลุ่มคนที่มาปกครองประเทศ เป็นกลุ่มคนเดียวกัน การเมืองเน้นฝ่ายอนุรักษ์นิยม ระบบรัฐสภาไม่ได้เป็นตัวแทนประชาชนโดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาถดถอย ล้าหลังนั้น ผลสอบ PISA สามารถสะท้อนเรื่องนี้ได้ดี โดยผลสอบนี้ สะท้อนว่าเราตกกราวรูด หรือการทดสอบภายในประเทศอย่าง การสอบโอเน็ต เด็กไทยได้คะแนนประมาณ 30-40%  เท่านั้น จะเห็นว่าผลารสอบวัดระดับทั้งภายในและภายนอกประเทศเราร่วงจนน่าตกใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราจะใช้ระบบอนุรักษ์นิยมมาจัดการการศึกาอีกต่อไปไม่ได้แล้ว

Advertisement

“นอกจากถูกแช่แข็งมา 10 ปีแล้ว ยังค้นพบปรากฎการณ์ทางสังคม คนที่ลุกขึ้นมาสู้กับการรัฐประหาร คือ คนรุ่นใหม่ เป็นนิสิต นักศึกษา นักเรียนไปหน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นต้น ซึ่งเด็กรุ่นนี้ถึงกระทำอย่างรุนแรงโดยการปราบปราม ถูกจับกุม คุมขังในบางมาตรา โดยเราจะเห็นร่องรอยเหล่านี้มาจนถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน สิ่งที่เราต้องเริ่มเข้าใจ คือ การจับกุมเด็กและเยาวชน เป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ต้องเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุย แสดงความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย”นายสมพงษ์ กล่าว

นายสมพงษ์ กล่าวว่า  เมื่อมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้น ก็เป็นรัฐบาลผสม สิ่งที่น่าสนใจและประหลาดใจ คือ ก่อนการเลือกตั้งมีพรรคการเมืองหนึ่ง มีนโยบายการศึกษาที่อ่อนที่สุด และมีเพียงเรื่องเดียว คือ การพักหนี้ กยศ. เรียกได้ว่าไม่โดดเด่น ไม่มีความคมชัดในนโยบายด้านการศึกษา แต่กลับเป็นพรรคที่ดูแลการศึกษาทั้งหมด ตั้งแต่ปฐมวัย ในกระทรวงมหาดไทย (มท.) การศึกษาในระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา ใน ศธ. การศึกษาในระดับอุดมศึกษา ในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หรือแม้กระทั่งได้เป็น ประธาน กมธ.การศึกษา

นายสมพงษ์ กล่าวว่า  แต่การศึกษาในระยะเวลา 10 เดือน ของรัฐบาลชุดนี้ มีการเปลี่ยนผ่านเรื่องที่ดีหลายเรื่อง เช่น การเปิดระบบการศึกษามากขึ้น เห็นการศึกษาที่ยืดหยุ่น เห็นระบบการศึกษา 1 โรงเรียน 3 ระบบ คือ 1 โรงเรียนจัดการศึกษาได้ทั้ง ในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย การระบบผ่อนปรนยกเว้นเครื่องแบบนักเรียน ทรงผมที่เปิดกว้างให้นักเรียน LGBTQ+ มากขึ้น แต่บางอย่างอาจจะไม่ทันเวลา เช่น เรื่อง ผ่อนปรนเครื่องแบบนักเรียนที่ประกาศในวันเปิดภาคเรียนแล้ว เป็นต้น

Advertisement

นายสมพงษ์ กล่าวว่า  อย่างไรก็ตาม 10 เดือนที่ผ่านมา พบว่าการผ่อนปรนของนโยบายนั้น ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ มีบางโรงเรียนเปิดกว้าง แต่มีบางโรงเรียนที่ยังเคร่งกับกฎระเบียบอยู่ ทำให้เห็นว่ามีปัญหา และอุปสรรคอีกเยอะ และในการเปิดประชุมสภาสมัยหน้า จะพบว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ เข้าพิจารณาด้วย ทำให้เห็นว่าการศึกษามีความเป็นไปได้ และมีแนวโน้มที่ดี ทั้งนี้ เราต้องพยายามประคับประคองระบบการศึกษาไม่ให้กลุ่มขวาจัด และระบบข้าราชการครอบงำอีกต่อไป

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า เชื่อว่า 2-3 ปี แนวโน้มการศึกษาดีขึ้นตามลำดับ ถ้ารัฐบาลตั้งใจ จริงใจ เอาจริงเอาจัง ติดตามระบบการศึกษาของประเทศ และสังคมโลก ที่ขณะนี้ต้องอาศัยการปรับตัวครั้งใหญ่ นโยบายทิศทางการเมืองต้องนำการศึกษา เน้นคุณภาพ เน้นการสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ที่สามารถนำประเทศและสังคมไทยไปสู่การแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม

“บทเรียน 10 ปี ที่ผ่านมาสอนให้เราเห็นว่าการรัฐประหาร ไม่เกิดผลดีอะไรกับประเทศไทย สูญเสียทั้งเวลา สูญเสียทรัพยากร สูญเสียโอกาศของคนรุ่นใหม่ ที่สำคัญคือทำให้ประเทศเราโตช้าที่สุดในอาเซียน  อีกทั้งยังมีกระแส มีข่าวลือว่าจะมีการทำรัฐประหารอีก ซึ่งอยากให้ปรับความคิดเสียดี ประเทศไทยต้องเลิกวงจรอุบาท ที่จะรัฐประหารทุก 5 ปี 10 ปีได้แล้ว ต้องให้โอกาสคนรุ่นใหม่มาบริหารประเทศ รัฐสภาคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ควรมีพื้นที่ในพูดคุยกัน ส่วนเรื่องนิรโทษกรรม ผมมองว่าเมื่อเรานิรโทษกรรมคดีทางการเมือง เราไม่สามารถยกเว้นมาตรบางมาตราได้ ผมคิดว่าเราต้องให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้น สังคมไทยก็จะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แตกต่าง และลงเอยด้วยการใช้อำนาจรัฐประหารอีก” นายสมพงษ์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image