ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
การเมืองของอาจารย์มหาวิทยาลัยไทย
ไม่ต่างจากสิ่งที่พวกเขาเคยด่านักการเมือง
อาจารย์มหาวิทยาลัยไทยพวกที่ประณามนักการเมืองไทยว่าด้อยคุณภาพและโกงกินเหมือนไม่ส่องกระจกชะโงกดูพวกตัวเองว่าแท้จริงแล้วก็ไม่ต่างกันกับนักการเมืองที่พวกตนพากันด่า
การเมืองในแวดวงอาจารย์มหาวิทยาลัยไทย เอาจริงเอาจังถึงขั้นเอาเป็นเอาตายก็มี เพื่อช่วงชิงตำแหน่งบริหารตั้งแต่อธิการบดีจนถึงคณบดี
บางแห่งหรือหลายแห่งในอีสาน หมู่อาจารย์เกณฑ์นักศึกษาแลกคะแนน “จิตพิสัย” เพื่อสนับสนุนการดำรงตำแหน่งอธิการบดี มีข่าวแพร่หลายทั่วไป และมีเป็นระยะๆ มาก่อนหน้านี้อีกหลายมหาวิทยาลัย
พฤติกรรมของอาจารย์มหาวิทยาลัยเหล่านั้น ไม่ต่างจากนักการเมืองที่พวกเขาเคยประณามด้วยการเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ ทั้งๆ ในความจริงแล้ว นักการเมืองมีทั้งดีและไม่ดีเหมือนทุกวงการ
เครื่องแบบ
การเรียนการสอนส่วนมากของอาจารย์มหาวิทยาลัยเหล่านั้นจนทุกวันนี้ เน้นท่องจำตามตำรา และตามคำสอนของอาจารย์ ไม่เปิดช่องให้ถาม และทักท้วงถกเถียง หรือเปิดช่องแบบแคบๆ
[แต่อาจารย์พวกนี้จะเมาธ์กับคนทั่วไปว่าตัวเองต้องการให้นักศึกษามีความคิดเป็นของตัวเองกล้าถามด้วยมั่นใจ แต่ในพฤติกรรมจริงตรงกันข้ามเมื่ออยู่ในห้องเรียน เช่น นักศึกษาคิดของตัวเองได้ แต่ต้องไม่ตรงข้ามคำสอนของอาจารย์ ฯลฯ]
นักศึกษาต้องแต่งเครื่องแบบให้ถูกต้องอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นมีปัญหากับอาจารย์ผู้สอน
เครื่องแบบนักศึกษาจึงเสมือนอาวุธหรือเครื่องพันธนาการบีบรัดมันสมองของนักศึกษาที่มีความคิดสร้างสรรค์และข้อซักถามให้หดแล้วหายไม่เหลือหลอ
เมื่อฟังคำบรรยายจากอาจารย์หรือจากวิทยากรภายนอก แม้มีข้อสงสัยหรือคัดค้านก็ไม่กล้า เพราะมันสมองและความคิดถูกครอบและบีบรัดจากเครื่องแบบ (ที่อาจารย์กำหนด) รวมทั้งจากการเรียนการสอนของอาจารย์ที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นเป็นอาจิณ จนเคยชินเป็นนิสัยไม่กล้าถาม
ความกะล่อน
อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน (ซึ่งมีมาก) เข้าเกณฑ์กะล่อนทางวิชาการ
หลอกเชิญวิทยากรจากกรุงเทพฯ แต่แล้วติดต่อสื่อสารกันไม่ได้ก็มี โดยหาคนรับผิดชอบไม่ได้ก็ไม่น้อย
มหาวิทยาลัยปล่อยลอยนวลอาจารย์กะล่อนเหล่านี้รับเงินเดือนทุกเดือน