PUBAT ฉายภาพธุรกิจพ็อกเก็ตบุ๊ค’61 ผุด ‘พวงหรีดหนังสือ’

นางสุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยถึงภาพรวมของธุรกิจหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คในปี 2561 ว่า เป็นปีที่ธุรกิจหนังสือจะต้องมีการปรับตัวอย่างชัดเจน โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณการผลิต ซึ่งปัจจุบันกลุ่มผู้อ่านกลุ่มใหญ่คือเด็กและเยาวชน และโซเชียลมีเดียสามารถช่วยผลักดันยอดขายหนังสือให้เติบโตได้อย่างชัดเจน

“ภาพรวมของธุรกิจสำนักพิมพ์จะมีการปรับตัวอย่างเห็นได้ชัด สำนักพิมพ์จะพิมพ์งานที่ตนเองถนัดและรู้จักผู้อ่านของตัวเองมากขึ้น โดยเน้นเรื่องของคุณภาพเป็นหลัก มีการรีเสิร์ชวิจัยข้อมูลก่อนการผลิต เมื่อความแม่นยำมากขึ้นความสูญเปล่าก็ลดลง บางสำนักพิมพ์มีการสร้างชุมชนการอ่านหรือแฟนหนังสือของตัวเองขึ้นมา ไม่ใช่แค่อยากทำอะไรก็ทำ คิดในมุมกลับโดยเอาคนอ่านเป็นหลักว่าอยากอ่านอะไร มีสำนักพิมพ์เกิดใหม่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่เข้าใจคนอ่านของตัวเองและใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดียได้ดี หลายสำนักพิมพ์มีการโยนหินถามทางด้วยวิธีการพรีออเดอร์ ในส่วนของสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ อาจลดสเกลลง แต่มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะฉะนั้นแม้ว่าปริมาณการผลิตจะลดลง แต่คุณภาพของหนังสือจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” นางสุชาดา กล่าว

นางสุชาดา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาธุรกิจหนังสืออยู่ในสภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งเกิดจากการผลิตหนังสือตามๆ กัน คือหนังสือประเภทไหนขายดีก็จะผลิตตามกัน ทำให้ดีมานด์กับซัพพลายไม่สมดุลกัน ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบันเชื่อมั่นว่ามีความระวังตัวมากขึ้นและทำในสิ่งที่ถนัดเป็นหลัก ทำให้การโอเวอร์สต็อกลดลง ในส่วนของร้านหนังสือนั้นมีการปรับตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะร้านเชนสโตร์ที่มีหลายสาขา มีการปรับให้เป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มากขึ้น และในส่วนของการขายหนังสือออนไลน์นั้น ในปีที่ผ่านมายอดขายของหลายสำนักพิมพ์มีการเติบโตเกินร้อยเปอร์เซนต์ จากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้อ่าน ยอดขายหนังสือโดยรวมจึงไม่ได้ลดลง เพียงแต่ไปอยู่ในการขายออนไลน์มากขึ้น

“เด็กและเยาวชนคือกลุ่มผู้อ่านกลุ่มใหญ่ที่สุด พวกเขาอ่านนวนิยาย มังงะ กราฟฟิคโนเวล ไลท์โนเวล ซึ่งการอ่านก็จะเติบโตไปเรื่อยๆตามช่วงวัย มีเด็กๆที่ตามไปอ่านวรรณกรรมคลาสสิคจากการอ่านไลท์โนเวล ซึ่งโซเชียลมีเดียมีพลังในการสร้างการอ่านในกลุ่มนี้ค่อนข้างมาก เพราะเป็นพลังในการบอกต่อ” นางสุชาดา กล่าวและว่า ในปีนี้สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯได้วางแผนการทำงานเพื่อพัฒนาภาพรวมของวงการหนังสือโดยรวม ทั้งในแง่ของธุรกิจและการสร้างการอ่าน

Advertisement

นางสุชาดา กล่าวด้วยว่า ในงานหนังสือที่สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯจัดในต่างจังหวัดนั้น จะมีการขยายสเกลเป็นงานระดับภาค และมีการเชื่อมโยงกับประเทศใกล้เคียงในแต่ละภูมิภาค อีกทั้งยังคงสานต่อโครงการ 1 อ่านล้านตื่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการรณรงค์ให้ซื้อหนังสือเพื่อบริจาค เพื่อสร้างให้เด็กไทยรักการอ่าน จากการได้อ่านหนังสือที่เขาอยากอ่าน ไม่ใช่หนังสือที่ถูกบริจาคมาโดยไม่ได้ตรงกับความต้องการของผู้อ่านอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีโครงการใหม่คือ โครงการหนังสือคัดสรร SELECTED BOOKS โดยเป็นการส่งเสริมการอ่านด้วยการคัดสรรหนังสือจากทุกสำนักพิมพ์ เพื่อขยายขอบเขตการอ่านให้หลากหลาย และผู้ผลิตจะได้สร้างสรรค์หนังสือคุณภาพให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม โดยแบ่งเป็น 4 ประเภทหลักๆ คือ หนังสือสำหรับเด็กและเยาวชน, วรรณกรรม (Fiction), สารคดี (Non-Fiction), เรื่องแปล และนิยายภาพ (Graphic Novel) และในส่วนของต่างประเทศจะมีการก่อตั้งศูนย์ Thai Right Center ขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อระหว่างสำนักพิมพ์กับเอเจนซี่ในการซื้อขายลิขสิทธิ์หนังสือ

นางสุชาดา กล่าวด้วยว่า อีกโครงการหนึ่งที่สำคัญ คือ โครงการพวงหรีด 4.0 (หนังสือ 4 ขยะ 0) ซึ่งเป็นงานพัฒนาต้นแบบการรณรงค์การใช้พวงหรีดหนังสือเพื่อสิ่งแวดล้อมและปัญญา โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯและกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯจะจัดประกวดการออกแบบพวงหรีดหนังสือ เพื่อเป็นต้นแบบให้กับร้านจำหน่ายพวงหรีด โดยในพวงหรีดจะมีหนังสือใหม่สำหรับทุกช่วงวัยที่มีคุณภาพบรรจุอยู่ 4 เล่ม พร้อมกันนั้นก็ประสานงานหาวัดและโรงเรียนที่มีความพร้อมเข้าร่วมโครงการ โดยวัดที่ได้รับพวงหรีดหนังสือจะบริจาคหนังสือนี้ให้แก่โรงเรียนของวัด และโรงเรียนที่ได้รับหนังสือบริจาคก็นำหนังสือนั้นไปจัดมุมหนังสือในห้องเรียนทุกห้องเพื่อให้เด็กสามารถเข้าถึงหนังสือได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วที่สุด ซึ่งถ้าคิดว่าวัดจะได้รับพวงหรีดหนังสือคืนละ 4 พวง โรงเรียนจะได้รับหนังสือใหม่อย่างดีวันละ 8 เล่ม หรือเท่ากับเดือนละ 240 เล่ม หรือปีละ 2,880 เล่ม มากกว่าการจัดซื้อโดยงบประมาณที่ได้จากรัฐหลายเท่า

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image