ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|---|
เผยแพร่ |
สตอรี่มีมากที่ส่งพลังสร้างสรรค์ ทั้งมูลค่าและคุณค่า ในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จ.สุโขทัย
เรื่องหนึ่งสนุกตื่นเต้นเร้าใจ แต่ถูกกีดกันออกไป คือ สงครามชิงเมืองศรีสัชนาลัย ระหว่างเมืองเชียงใหม่กับเมืองอยุธยา ราว 500 ปีมาแล้ว หรือเมื่อเรือน พ.ศ.2000
เมืองเชียงใหม่ เป็นลาว อยู่ข้างบน บริเวณลุ่มน้ำปิง-วัง ขยายอำนาจลงไปยึดเมืองศรีสัชนาลัย
เมืองศรีสัชนาลัย (เรียกชื่ออย่างอื่นอีก คือ เมืองเชลียง, เมืองเชียงชื่น) เป็น “เมืองเหนือ” ของอยุธยา แต่ทางใต้เมืองเชียงใหม่ อยู่บริเวณลุ่มน้ำยม-น่าน เครือข่ายเครือญาติเมืองสุโขทัย
เมืองอยุธยา เป็นสยาม อยู่ข้างล่าง บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ยกทัพขับไล่กองทัพเมืองเชียงใหม่ที่ยึดเมืองศรีสัชนาลัย
[รายละเอียดมีบอกในยวนพ่าย (โคลงดั้น) วรรณกรรมสมัยต้นอยุธยา เป็นหนังสืออ่านยาก แต่มีฉบับร้อยแก้วถอดความให้อ่านไม่ยาก ถ้าอ่านอย่างพิถีพิถันจะพบอารมณ์และความรู้สึกของคนในยุคนั้นมีพรั่งพร้อม]
เมืองศรีสัชนาลัย มีอายุเก่าแก่ก่อนเมืองสุโขทัย เป็นชุมทางเส้นคมนาคมการค้าข้ามภูมิภาคทาง ตะวันออก ถึงลุ่มน้ำโขง-ยูนนาน-อ่าวตังเกี๋ย ทางตะวันตก ถึงลุ่มน้ำสาละวิน-อ่าวเมาะตะมะ ขณะเดียวกันก็ลงทางใต้ ถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยา-อ่าวไทย
จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งทางการสงครามและการค้าทางบกของดินแดนภายใน สืบเนื่องจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ภูมิประเทศเมืองศรีสัชนาลัย มีสตอรี่เกี่ยวข้องหลายแห่ง เช่น
1. แม่น้ำยม ชื่อ “ยม” เชื่อมโยงถึงลำน้ำยมเมืองแถน เป็นเมืองในตำนานบรรพชนตระกูลภาษาไต-ไท (ภาษาไทย)
ฝั่งตะวันตกแม่น้ำยมอันเป็นที่ตั้งเมืองศรีสัชนาลัย มีดิน, น้ำ, ลม เหมาะสมอย่างยิ่ง ทำเตาเผาเครื่องเคลือบสังคโลก จึงพบซากเตาจำนวนมากลักษณะอุตสาหกรรม
2. แก่งหลวง ขวางแม่น้ำยม หน้าเมืองด้านทิศตะวันออก เคยเป็นแหล่งจับปลาของชาวบ้านทุกสารทิศ ทำปลาร้าปลาแดก แล้วมีนิทานพระร่วงเล่นน้ำจมหายไป
3. ภูเขา มี 3 กลุ่ม เป็นแลนด์มาร์กยิ่งใหญ่ จุดนัดหมายทางยุทธศาสตร์ของกองทัพอยุธยา เข้าชิงเมือง ได้แก่ กลุ่มกลางเมือง (เรียก เขาพนมเพลิง), กลุ่มตะวันตก นอกเมือง (เรียก เขาพระศรี หรือเขารังแร้ง), กลุ่มตะวันออก นอกเมือง (เรียก เขาพระบาท)
สตอรี่ศรีสัชนาลัยมีมากกว่านี้ ล้วนสร้างมูลค่าและคุณค่าไม่รู้จบทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
ปัญหาอยู่ที่ผู้เกี่ยวข้องภาครัฐ, ภาคเอกชน, ภาคประชาชนพลเมือง ถูกครอบงำด้วยการศึกษาแบบ “หมาหางด้วน”
พวกกระแสหลักจึงพากันกีดกันความทรงจำท้องถิ่น เลยลดทอนพลังสร้างสรรค์ แล้วรำพึงรำพันเพียงซากๆ ไร้ชีวิต ซ้ำๆ