ความงดงามแห่งพระราชไมตรี สมเด็จพระสังฆราช ทรงรับ สมเด็จพระสันตะปาปา

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก และนครรัฐวาติกัน ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการ

โอกาสนี้ สมเด็จพระสังฆราช มีพระดำรัสรับเสด็จ ความว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตรสมเด็จพระสันตะปาปา ผู้ทรงสมณคุณอันประเสริฐ อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ไทย ขอถวายอนุโมทนาสาธุการ ในโอกาสที่มหาบพิตร เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย และเสด็จมาทรงเยี่ยมอาตมภาพในวาระนี้ นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพึงจดจารึกไว้เป็นศุภนิมิตแห่งน้ำใจไมตรีที่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกกับพุทธจักรไทย มีสืบเนื่องกันมาอย่างแน่นแฟ้น ราบรื่น และงดงาม เป็นเวลาเนิ่นนานนับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา

เมื่อ 35 ปีล่วงมาแล้ว ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เฉพาะพระพักตร์พระพุทธอังคีรส ประธานพระอุโบสถแห่งนี้ สมเด็จพระอุปัชฌายะของอาตมภาพ คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ ได้เสด็จลงทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก ที่ประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิก เสด็จมาทรงเยี่ยมประมุขแห่งพุทธจักรไทย ณ ราชอาณาจักรไทย ภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของอาตมภาพ ผู้มีโอกาสได้เฝ้าอยู่ในการดังกล่าวด้วย ทั้งสองพระองค์ทรงปราศรัยกัน ทรงแสดงพระอัธยาศัยอันงามต่อกัน บนพื้นฐานแห่งพระเมตตาจิตอย่างแท้จริง ในฐานะนักบุญผู้ประเสริฐแห่งสองศาสนา ซึ่งมุ่งหมายจะแผ่ความปรารถนาดีอย่างจริงใจ ไปสู่ทุกชีวิตอย่างไม่มีประมาณ เป็นอุดมการณ์ร่วมกัน

Advertisement

ขอถวายพระพรให้ทรงทราบว่า ใต้ฐานพระพุทธอังคีรส ยังเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้า สมเด็จพระสันตะปาปา เลโอที่ 13 เมื่อพุทธศักราช 2440, เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชสรีรางคาร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอที่ 11 เมื่อพุทธศักราช 2477 อีกทั้งเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์นที่ 23 เมื่อพุทธศักราช 2503 และทรงเคยรับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยเมื่อพุทธศักราช 2527

ณ สถานที่แห่งนี้ จึงเป็นมงคลสถานสำหรับการพบกันของเราทั้งสอง ด้วยส่วนแห่งพระวรกายของทุกๆ พระองค์ ยังคงประดิษฐานเป็นสักขีพยานแห่งมิตรภาพ ซึ่งได้ทรงสร้างสรรค์ไว้นับแต่อดีตสมัย หากแต่ละพระองค์มีพระญาณวิถีใดที่จะทรงหยั่งทราบ คงจะทรงโสมนัสพระราชหฤทัยไม่น้อย ที่ได้ทอดพระเนตรเห็นความเจริญงอกงามแห่งทางพระราชไมตรี เป็นภาพอันน่าประทับใจอีกครั้งในวันนี้

การเสด็จมาครั้งนี้ของมหาบพิตร จึงไม่ใช่การมาของมิตรใหม่ หากแต่เป็นการมาเยือนของมิตรแท้อันเก่าแก่ของคนไทย ระยะทางที่ห่างไกลกันหาใช่อุปสรรคของความสนิทสนมกลมเกลียวกัน

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนไว้ว่า ‘ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมมีผู้บูชาในที่ทั้งปวง.’ ‘ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมผ่านพ้นศัตรูทั้งปวง.’ บัดนี้ มหาบพิตร ทรงพระอุตสาหะตรากตรำพระวรกายบนหนทางแสนไกล เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย และมาทรงเยี่ยมอาตมภาพด้วยน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยมิตรภาพถึงที่นี้ อาตมภาพขอสนองน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยมิตรภาพนั้นๆ ตอบถวาย เป็นหลายเท่าทวีคูณ

ด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตาธรรม ซึ่งมหาบพิตรทรงเจริญมั่นอยู่ในพระหฤทัย และด้วยศุภผลแห่งกุศลเหตุ คือความไม่ประทุษร้ายมิตร ขอมหาบพิตร ทรงสถิตสถาพร เป็นปูชนียฐานอันประเสริฐของศาสนิกบริษัท และทรงพระเจริญในสมณคุณ ค้ำจุนให้ทรงผ่องแผ้วผ่านพ้นภัยพิบัติทั้งปวง สมตามพระพุทธานุศาสนีดังอาตมภาพอัญเชิญมาอ้าง เป็นสัจจวาจาข้างต้นนี้ทุกประการ

ขอถวายพระพร”

ขอบคุณ เฟซบุ๊กสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image