ที่มา | ฉบับพิเศษเฉลิมฉลองตรุษจีน 2566, มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2566. |
---|---|
ผู้เขียน | กองบรรณาธิการ 'หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน' |
ตรุษจีน เทศกาลแห่งการเริ่มต้นที่เปี่ยมด้วยความสุขและสดใสของชาวไทยเชื้อสายจีน
ปีนี้เข้าสู่นักษัตร เถาะ สัญลักษณ์คือกระต่าย พุทธศักราช 2566 คริสต์ศักราช 2023
การเฉลิมฉลองคึกคักหลังจีนเปิดประเทศ เช่นเดียวกับทั่วโลกที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดกลับมาใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็น และควรจะเป็น
พลิกปฏิทิน หมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปในอดีต ไม่เพียงการเฉลิมฉลองของภาคประชาชนและระดับรัฐ ทว่า ประเพณีตรุษจีนยังปรากฏในราชสำนักสยามอย่างน้อยตั้งแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์
(เลี้ยงพระ) ตรุษจีนในราชสำนักสยาม
หนึ่งในพระราชพิธีสิบสองเดือน
ในราชสำนักมีการพระราชกุศลเลี้ยงพระตรุษจีนขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นส่วนหนึ่งของ พระราชพิธีสิบสองเดือน ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชาธิบายว่า สาเหตุเกิดจากการที่ชาวจีนนำหมู เห็ด เป็ด ไก่ และขนมต่างๆ มาถวายรัชกาลที่ 3 ในเทศกาลตรุษจีนเป็นจำนวนมาก จึงมีรับสั่งให้นิมนต์พระสงฆ์มาฉัน ณ พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย 3 วัน วันละ 30 รูป โดยไม่มีการสวดมนต์
นอกจากนั้นยังโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์จัด ขนมจีน มาถวายผลัดเปลี่ยนเวรกันทั้ง 3 วัน หลังจากพระฉันแล้วเลี้ยงข้าราชการ และทรงจ่ายเงินซื้อปลาปล่อยวันละ 10 ตำลึง
อย่างไรก็ตาม ขนมจีนไม่ได้เป็นอาหารจีน เสฐียรโกเศศสันนิษฐานจากชื่อว่าน่าจะเป็นของมอญ ขนม แปลว่า แป้งเส้น หรือเส้นหมี่ จีน แปลว่า ต้มสุก ขนมจีนคือแป้งต้มสุก กระบวนการทำและรสชาติมีเค้ามอญมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงโปรดให้ทำเกาเหลาเลี้ยงพระแทนขนมจีน และทรงปรับปรุงการพระราชพิธีบางส่วน เช่น ทรงสร้างศาลาหลังคาเก๋งขึ้นหน้าพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย พร้อมกับมีเทวรูปตั้งบูชา มีเครื่องเซ่นสังเวยตลอด 3 วัน
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้กลับไปเลี้ยงขนมจีนตามแบบเก่า นอกจากนี้ พระยาโชฎึกราชเศรษฐียังได้จัดโต๊ะจีนมาเลี้ยงถวายเจ้านายอีกด้วย
เปลี่ยนนักษัตร ข้ามปีเก่าสู่ปีใหม่ เทศกาลใหญ่ชาวจีนทุกหมู่เหล่า
ตัดภาพมายังการเฉลิมฉลองตรุษจีนในปัจจุบัน ผศ.ถาวร สิกขโกศล นักปราชญ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา วรรณคดีและวัฒนธรรมจีนอันดับต้นๆ ของไทย อดีตอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า ตรุษจีนซึ่งเป็นเทศกาลสำคัญและคึกคักที่สุดของชาวจีนทุกหมู่เหล่า โดยในจีนถือเป็นเทศกาลใหญ่กินเวลายาวนานเกือบ 1 เดือน ประกอบด้วยเทศกาลย่อยต่อเนื่องกันหลายเทศกาล มีคำเรียกเป็นภาษาจีนแตกต่างกันตามยุคสมัยหลายคำ แต่ที่สำคัญและบ่งบอกความเป็นมาของเทศกาลนี้มี 3 คำ ได้แก่ หยวนตั้น แปลว่า วันแรกในรอบปี หรือปฐมวาร, ชุนเจี๋ย หรือตรุษวสันต์ และ กั้วเหนียน หรือกวยนี้ ในภาษาแต้จิ๋ว แปลว่า ผ่านปี ข้ามปีเก่าสู่ปีใหม่
เทศกาลหลักของตรุษจีนคือวันสิ้นปีเก่าและวันขึ้นปีใหม่ ปัจจุบันในจีนยังแยกตรุษจีนออกเป็น 2 เทศกาล วันสิ้นปี เรียก ฉูซี่ ตัดปีในคืนสุดท้าย วันขึ้นปีใหม่เรียก ชุนเจี๋ย เทศกาลวสันต์ หรือหยวนตั้น ปฐมวาร ความจริงตัววันตรุษจีนคือวันสิ้นปี ซึ่งก็คือวันไหว้ใหญ่ของตรุษจีนเมืองไทย เพราะตรุษ แปลว่า ตัด คือตัดปี หรือสิ้นปี เช่น ตรุษไทยคือแรม 15 ค่ำ สิ้นเดือน 4 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นปีใหม่ เปลี่ยนนักษัตร
สำหรับประเพณีในเทศกาลนี้นอกจากส่งเจ้าเตาไฟขึ้นสวรรค์ เก็บกวาดทำความสะอาดประจำปี แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือการเซ่นไหว้ ซึ่งในอดีตไม่มีของขายสำเร็จรูปมากมายเหมือนปัจจุบัน จึงต้องเตรียมการเนิ่นๆ ดังนั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่คึกคักมาก
“กิจกรรมสำคัญในวันสิ้นปีเก่าคือ ไหว้เจ้าและบรรพชน ส่วนใหญ่ไหว้ตอนเช้าตรู่ ของไหว้สำคัญคือ ซาแซ สัตว์ 3 อย่าง หรือโหงวแซ สัตว์ 5 อย่าง ชา เหล้า ข้าวสวย กับข้าว ผลไม้ และก้วย กอ เปี้ย ของกินทำจากธัญพืช เพื่อแสดงความอุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันใช้ขนมแทนได้ การไหว้บรรพชนใช้ของเหมือนไหว้เจ้า เพราะบรรพชนมีฐานะเป็นพระเทพบิดรของวงศ์ตระกูล ของไหว้บรรพชนวันนี้จะขาดซาแซและเหล้าไม่ได้” ผศ.ถาวรระบุ
อย่างไรก็ตาม ผศ.ถาวรยืนยันว่า หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย หรือเป็นช่วงเวลาที่ข้าวของขึ้นราคา ก็ลดทอน ปรับเปลี่ยนได้ เพราะประเพณีไม่ตายตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ศรัทธา และความตั้งใจ ดังนั้น แม้แต่ ไข่ฟองเดียว ก็ไหว้ได้ โดยถือเป็นสัญลักษณ์แทนไก่ 1 ตัว
”สมัยก่อนการไหว้เขาก็เอาของที่ปลูก ที่เลี้ยงไว้มาไหว้กัน มีอะไรก็ไหว้อย่างนั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็คัดของดีที่สุดเท่าที่มี และชื่อเป็นมงคล เสียงพ้องกับคำที่เป็นสิริมงคลเท่านั้นเอง เดิมมีไม่กี่อย่าง เช่น ไก่ คือสัญลักษณ์ของความขยันทำมาหากิน เป็ด มาทีหลัง เป็นสัญลักษณ์ของการประสบความสำเร็จ ต่อมาเมื่ออุดมสมบูรณ์ขึ้นจึงเกิดความนิยมไหว้ให้ครบ ทั้งสัตว์ 4 เท้า คือหมู สัตว์ปีก คือไก่ หรือเป็ด และสัตว์มีเกล็ด คือปลา”
ส่วน ขนม ที่ใช้ไหว้ในเทศกาลตรุษจีนมีความแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น แต่มีชื่อเรียกร่วมกันว่า เหนียนเกา แปลว่า ขนมประจำปี ขนมไหว้ตรุษจีนในไทยที่เห็นคุ้นตา แน่นอนว่าคือ ขนมเข่ง ซึ่งถือเป็นเหนียนเกาชนิดหนึ่ง
เหนียนเกาทุกถิ่นมีลักษณะร่วมกันคือ ทำด้วยแป้งที่ได้จากข้าวชนิดใดชนิดหนึ่ง ขนมเข่งในไทยมาจากเหนียนเกาของจีนตอนใต้ แต่เปลี่ยนวัสดุห่อเป็นใบตองเพราะหาง่าย (ในจีนใต้นึ่งในถาดใหญ่ ใช้ไหว้ทั้งถาด เวลากินจะตัดแบ่ง) เมื่อใช้ใบตอง จึงต้องทำเล็กลงเป็นกระทง ถ้าเป็นกระทงใบตองแห้งจะอ่อนย้วยไปมา ต้องใช้เข่งเล็กๆ รองด้านนอก จึงเรียกขนมเข่ง
นอกจากนี้ ขนมอีกหนึ่งอย่างที่ได้รับความนิยมคือ ขนมเทียน นำมาไหว้ด้วย โดยมีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นขนมที่คนไทยสร้างสรรค์ขึ้นมาเองจากการดัดแปลงสูตรของขนมเข่ง โดยใช้แป้งข้าวเหนียวกวน ใส่ไส้ถั่วบด ปรุงรสเค็มมัน ปรากฏในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ความว่า
รสรักยักลำนำ ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม
เช้า สาย บ่าย เซ่นไหว้
ขอบคุณ คือหลักใหญ่
สำหรับประเด็นความเหมือนและต่างระหว่างตรุษจีนของชาวจีนในประเทศจีน และตรุษจีนในเมืองไทย ผศ.ถาวรให้ข้อมูลว่า แตกต่างกันไม่มากนัก เทศกาลตรุษจีนในไทยส่วนใหญ่เป็นไปตามคตินิยมของจีนแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นจีนกลุ่มใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม มีความ รวบรัด กว่าที่ทำกันในเมืองจีนมาก ช่วงเทศกาลมี 3 วัน คือ วันจ่าย วันไหว้ และวันถือ ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า วันเที่ยว มีลูกหลานจีนบางกลุ่มยังไหว้ส่งเจ้าขึ้นสวรรค์อันเป็นกิจกรรมแรกสุดของเทศกาลตรุษจีนด้วย
อย่างที่ทราบกันดีว่าตรุษจีนเป็นเทศกาลที่แพร่หลายมาก แม้แต่คนไทยผู้ไม่มีเชื้อสายจีนบางส่วนก็ร่วมเฉลิมฉลอง รวมถึงเซ่นไหว้ และขอพรตามศาลเจ้าจีนต่างๆ อย่างไรก็ตาม รากเหง้าอันจริงแท้ของการเซ่นไหว้ในวัฒนธรรมจีนคือการ ขอบคุณ เป็นหลักใหญ่
คนจีนไหว้เพื่อขอบคุณ จึงไหว้ตอนสิ้นปี เพราะการทำมาหากินได้ผลอุดมสมบูรณ์มา เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็ขอบคุณฟ้าดิน ธรรมชาติ บรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้เพื่อขอความคุ้มครองให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข การทำมาหากินในปีต่อไปราบรื่นดี เน้นเรื่องความขยันของตัวเอง ไม่ใช่การขอ หรือบนบานให้ได้สิ่งต่างๆ
เดิมการไหว้ตรุษจีนในเมืองไทยมีการไหว้ 3 เวลา
เช้า ไหว้เจ้า แสดงความเคารพธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สาย ไหว้บรรพชน แสดงถึงความกตัญญูและรักวงศ์ตระกูล
บ่าย ไหว้ผีไม่มีญาติ แสดงความเมตตาต่อผู้ยากไร้และรักผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม ในภายหลังการไหว้ผีไม่มีญาติในช่วงบ่ายลดน้อยถอยลง ในขณะที่เกิดกระแสนิยมไหว้ ไฉ่ชิ้ง เทพแห่งทรัพย์สินตอน 5 ทุ่มอย่างแพร่หลาย
คนจีนเตรียมพร้อมเสมอ ถือเคล็ด-ข้อห้าม คิดการณ์ไกล ไม่ใช่งมงาย
ถัดจากนั้น ครอบครัว ลูกหลาน และผีบรรพชนกินข้าวร่วมกันในอาหารมื้อสำคัญที่สุดในรอบปีและเทศกาลตรุษจีน เรียกว่า เหนียนเย่ฟั่น แปลว่า อาหารค่ำประจำปี แต้จิ๋วนิยมเรียก ถ่วงอี่ปึ่ง หรือ ข้าวพร้อมหน้าสามัคคี ถือเป็นช่วงเวลาที่อยู่พร้อมหน้า จากบ้านไปไกลแค่ไหนก็ต้องกลับมา
ครั้นถึงวันสุดท้ายของเทศกาลตรุษจีนซึ่งในไทยเรียก วัน ชิวอิ้ก แปลว่า วัน 1 ค่ำ (เดือนอ้าย) คนนิยมไปเที่ยวฉลองตรุษจีน จึงเรียกอีกอย่างว่า วันเที่ยว เป็นวันถือเคล็ด ไม่พูดคำหยาบ ไม่เบาะแว้ง ไม่ทำของแตก ไม่กวาดบ้าน ไม่ใช้ของมีคม
ข้อห้ามเหล่านี้สะท้อนถึงการเตรียมพร้อมเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของคนจีน ไม่ใช่ความงมงาย
คนจีนเตรียมพร้อมเสมอ คิดการณ์ไกล ไม่ทำอะไรเฉพาะหน้า เรื่องข้อห้าม สมัยก่อนความรู้เรื่องการแพทย์ยังไม่มาก ก่อนตรุษจีน คนจึงทำตัวให้พร้อม ให้สุขภาพดี การทำความสะอาดบ้านมีกติกาว่าต้องทำก่อนตรุษจีนตั้งครึ่งเดือน ช่วงตรุษจีนในประเทศจีนยังเป็นหน้าหนาว เขาปิดบ้าน จึงไม่กวาดบ้าน วันชิวสี่ คือวัน 4 ค่ำ หรือ 5 ค่ำ จึงกวาดออก โดยถือว่าสิ่งนั้นคือความยากจน ต้องขจัดออกไป แต่ถ้ามีสิ่งสกปรกที่คาดไม่ถึงเข้ามาก็ทำได้ เพียงแต่ให้เตรียมพร้อม
ส่วนการห้ามด่า ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามทำของแตก คนจีนถือเพราะสิ่งนี้คุณระวังได้ ในช่วงเวลาสำคัญ อะไรที่เป็นโทษควรงดเว้น จะเห็นว่าการถืออะไรของคนจีนอยู่ในช่วงเวลาจำกัด ซึ่งก็คือการฝึกวินัยเบื้องต้น
ถือเป็นความหมายที่แฝงอยู่ในประเพณีอันรุ่มรวยจากวัฒนธรรมจีน สู่คนไทยเชื้อสายจีน อันเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทยในวันนี้
ชุนเหลียน ส่งความปรารถนาดี ผ่าน กลอนคู่แห่งฤดูใบไม้ผลิ
อีกหนึ่งภาพคุ้นตาในเทศกาลตรุษจีนคือ กระดาษสีแดงสดที่ปรากฏตัวอักษรภาษาจีน ติดบนประตู ด้านละ 1 แผ่น ข้อความบนกระดาษมีจำนวนอักษรเท่ากัน เป็นใจความอวยพรปีใหม่ ภาษาจีนกลางเรียกข้อความในลักษณะดังกล่าวว่า ตุ้ยเหลียน คือ กลอนคู่ ที่ไม่จำเป็นต้องมีสัมผัส หากแต่ต้องเป็นถ้อยคำ 2 วรรคที่มีเสียงหนักเบาและความหมายสมดุลกัน นั่นคือ มีจำนวนคำ (อักษร) เท่ากัน และความหมายเป็นคู่กันอย่างสละสลวย
สำหรับกลอนคู่ในเทศกาลตรุษจีนมีชื่อเฉพาะในภาษาจีนกลางว่า ชุนเหลียน หมายถึง กลอนคู่ในวสันตฤดู คือฤดูใบไม้ผลิ (ไม่ใช่ฤดูฝน) ส่วนใหญ่มีใจความอวยพรปีใหม่ หรือกล่าวเรื่องราวเกี่ยวกับปีใหม่ เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการส่งความปรารถนาดีในช่วงตรุษจีนที่นิยมมอบให้แก่กัน
ซิน เจีย ยู่ อี่ ซิน นี้ ฮวด ใช้ (สำเนียงแต้จิ๋ว)
หมายถึง เดือนอ้ายใหม่จงได้สมจินตนา ปีใหม่มาพูนทรัพย์นับอนันต์
คือกลอนคู่ที่แพร่หลายที่สุดในเทศกาลตรุษจีน
อีกหนึ่งกลอนคู่ตรุษจีนบทที่ไพเราะกลายเป็นอมตะ โดยได้รับความนิยมตลอดห้วงเวลาเกือบ 500 ปี เป็นฝีมือการประพันธ์ของ หลินต้าชิน หรือลิ้มไต้คิม จอหงวนคนเดียวของจีนแต้จิ๋ว ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.2055-2088
ความว่า
เทียน เจิง ซุ่ย เยว่ เหญิน เจิง ซุ่ย (สำเนียงจีนกลาง)
หมายถึง นภาเพิ่มปีเดือนคนเพิ่มวัย วสันต์เต็มฟ้าดินโชคเต็มบ้าน
โดยปกติกลอนคู่ตรุษจีนถูกเขียนลงบนกระดาษแดงด้วยตัวอักษรสีทอง หรือสีดำ
ที่สำคัญต้องเขียนด้วยลายมือที่งดงาม เป็นศิลปะแขนงหนึ่งของจีนซึ่งผสานอักษรศาสตร์และงานจิตรกรรมไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เรียกว่า ลายสือศิลป์ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่เขียนได้ แม้แต่คนจีนที่รู้ภาษาจีน
นิธิวุฒิ ศรีบุญชัยชูสกุล อาจารย์ภาควิชาภาษาจีน คณะศิลปศาสตร์ ม.รังสิต ซึ่งได้รับฉายา เซียนพู่กันจีน มือหนึ่งของไทย ผู้ฝากผลงานลายสือศิลป์บนป้ายศาลเจ้าจีนมากมายทั่วประเทศ อธิบายว่า ลายสือศิลป์เป็นศิลปะชั้นสูง ต้องผ่านการร่ำเรียนและฝึกฝน
ตรุษจีนคือการเฉลิมฉลอง การกลับมาพบหน้า การรวมญาติ การได้ส่งความปรารถนาดีให้กัน การมอบชุนเหลียนให้ ถือเป็นการส่งความปรารถนาดีที่ง่ายที่สุด โดยเป็นคำกลอนที่มีความหมายมงคล พูดถึงการเฉลิมฉลองตรุษจีน ขอให้มีสิ่งดีๆ เข้ามา เช่น อวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง พบแต่สิ่งดีๆ หรือมีบุญบารมี มีอายุยืน ความร่ำรวย แข็งแรง สิ่งสำคัญคือต้องใช้กระดาษแดงเท่านั้น ส่วนหมึก เมืองไทยนิยมใช้สีทอง แต่ในเมืองจีนใช้สีดำด้วยซ้ำ จีนไม่ถือว่าหมึกดำเป็นเรื่องอวมงคล
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวการเฉลิมฉลองตรุษจีน ประเพณีที่สืบทอดอย่างยาวนานของชาวจีนทั่วโลก เฉกเช่นเดียวกับคนไทยเชื้อสายจีนในวันนี้ที่ยังคงดำเนินตามวัฒนธรรมของบรรพบุรุษโดยคงไว้ซึ่งหลักการสำคัญอย่างไม่เสื่อมคลาย