‘8พรรค’ ท้าชน จุดขาย-จุดแข็งสู้เลือกตั้ง

‘8พรรค’ท้าชน จุดขาย-จุดแข็งสู้เลือกตั้ง หมายเหตุ - เครือมติชนประเดิมเวทีแรก

หมายเหตุ – เครือมติชนประเดิมเวทีแรกของแคมเปญ “มติชน : เลือกตั้ง 2566 บทใหม่ประเทศไทย” ประชันนโยบายในหัวข้อ “ย้ำจุดยืน ชูจุดขาย ประกาศจุดแข็ง” โดยมีหัวหน้าพรรคและตัวแทน 8 พรรคเข้าร่วม ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ (รางน้ำ) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

พรรค ปชป.มีจุดแข็งหลายข้อ แต่วันนี้ผมขอกล่าวเพียง 3 ข้อ คืออุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์คือ รากแก้ว ของพรรคการเมือง ถ้าเราได้พรรคการเมืองที่ไม่มีอุดมการณ์ไปบริหารประเทศ ประเทศก็จะเดินอย่างไร้อุดมการณ์ อุดมการณ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

Advertisement

จุดแข็งของอุดมการณ์พรรค ปชป.คือ 1.อุดมการณ์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.ประชาธิปไตยสุจริต ซึ่งประชาธิปไตยสุจริตเท่านั้นที่จะรักษาประชาธิปไตยไว้ได้ เพราะไม่ว่าจะมีการทำรัฐประหารกี่ครั้ง เกือบจะไม่มีครั้งไหนที่อ้างเงื่อนไขการทุจริต แล้วยึดอำนาจ และ 3.อุดมการณ์ประชาธิปไตยท้องอิ่ม เพราะประเทศธิปไตยอย่างเดียวไม่พอ คนไทยต้องท้องอิ่ม ไม่เช่นนั้นประชาธิปไตยจะไปไม่รอด

ส่วนเรื่องนโยบาย ปชป.ไม่ใช่มีแค่นโยบาย 16 ข้อแต่ที่มามีกรอบยุทธศาสตร์ที่จะพาประเทศไปข้างหน้าชัดเจน นั้นคือ ยุทธศาสตร์สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ เงินที่ว่าไม่ใช่สร้างเงินแค่คนไทย แต่สร้างเงินให้ประเทศด้วย เพราะมีหลายคนวิจารณ์ว่าพรรคการเมืองดีแต่นโยบายใช้เงิน แต่ใครจะสร้างเงินใครจะเอาเงินเข้าประเทศ พรรค ปชป.เป็นหนึ่งในนั้น ที่จะมีรายละเอียดตามมาถ้ามีเวลา ทำไมต้องสร้างคน เพราะคนสำคัญ ถ้าคนไม่มีคุณภาพ คนไม่มีศักยภาพ ก็ไม่สามารถสร้างเงินต่อไม่ได้ แม้แต่รักษาเงินก็ไม่สามารถรักษาเงินได้ หากเราสร้างคน สร้างเงินได้ เราก็สามารถสร้างชาติได้ จะสร้างได้อย่างไรเราจะประกาศต่อไปในอนาคต

ทั้งหมดนี้ คือ กรอบคิดหากพรรค ปชป.เป็นแกนตั้งรัฐบาล อย่างน้อยที่สุดทิศทางทางเศรษฐกิจชัดเจน มีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าไปสู่เศรษฐกิจหลากหลาย ไม่ใช่แค่รายได้ทางเดียว เพราะโลกสอนเรา ถ้าเน้นอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว สงครามรัสเซีย-ยูเครน จะเอาข้าวที่ไหนกิน หากเน้นท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว โควิด-19 มาจะเอาเงินที่ไหนใช้ นี่คือหลักคิดของ ปชป.และแปลงมาเป็นนโยบายเศรษฐกิจและสังคม

Advertisement

อนุทิน ชาญวีรกูล
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

เมื่อสักครู่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พปชร. เริ่มว่าถ้าเลือก พปชร. จะได้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯจึงขอเริ่มคำพูดว่า ถ้าเลือกพรรค ภท.จะได้ผมเป็นนายกฯ พรรคภูมิใจไทยชูจุดยืน คือ จะไม่เป็นปัจจัยความขัดแย้ง จะไม่ต้องการเอาชนะพรรคการเมืองด้วยกันหรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งแล้วบอกว่าตัวเองชนะ เพราะไม่มีประโยชน์ คนที่ชนะ ภท.ได้มีกลุ่มเดียวคือประชาชน ส่วนจุดขาย คือ พรรค พูดแล้วทำ เสนออะไรต้องปฏิบัติได้จริง ทำได้เลย ทำได้เร็ว กล้าตัดสินใจสนับสนุนในสิ่งที่เป็นประโยชน์ กล้าคัดค้านสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะการทุจริตต่อบ้านเมือง ภท.เป็นพรรคที่มีระเบียบวินัย เคารพในกติกา ทั้งกติกาทางกฎหมาย กติกาในสภา กติกาการอยู่ร่วมกันและผลักดันเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ที่สำคัญคือ พรรคจะทำให้รากฐานของประชาชนเข้มแข็ง ผ่านระบบที่เป็นเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำต่างๆ คนไทยต้องมีสุขภาพดี ต้องมีโอกาสประกอบธุรกิจ และอาชีพโดยไม่มีการกีดกัน พรรคภูมิใจไทยมีคนที่เข้าใจบริบทนี้อยู่เต็มพรรค ในยุคที่ภท.ทำงานในกระทรวงสาธารณสุขมา 4 ปี ยืนยันได้เลยว่าประชาชนคนไทยจะไม่มีวันล้มละลายจากปัญหาสุขภาพตัวเอง ภท.จะให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาถิ่นกำเนิดของตัวเอง ด้วยการมีภาษีบ้านเกิดเมืองนอนไปจัดการเอง

สำหรับจุดแข็ง คือ ภท.ทำได้แน่นอน เพราะเราเป็นพรรคที่มีขนาดพอสมควร สามารถที่จะประสานเชื่อมทุกพรรคได้ ทำให้เกิดความสามัคคี และความสงบของคนในชาติ ภท.ทำได้ทั้งระดับท้องถิ่น คือทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างดี และระดับนานาชาติ คือไปไหนไม่อายใครอย่างแน่นอน สามารถทำให้นานาอารยประเทศให้ความเชื่อมั่น เชื่อถือต่อประเทศไทย

รัฐมนตรีทุกคนของพรรค ภท.สามารถทำงานเข้ากับข้าราชการได้ ด้วยความเข้าใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทั้งยังทำงานร่วมกันระหว่างการเมืองต่อการเมืองได้ในกรณีที่ไม่มีความเห็นที่ขัดแย้งกันในเรื่องของอุดมการณ์ พรรคภูมิใจไทย จึงอยากจะย้ำจุดยืน ชูจุดขาย และประกาศจุดแข็ง ให้พี่น้องประชาชนทราบ จะทำทันทีตามที่ได้พูดหลังจากที่ได้เป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล และถ้าเป็นไปได้ผมจะได้เป็นนายกฯ

สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ

หากเลือกพรรค พปชร. จะมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. เป็นนายกรัฐมนตรี และจะมี 3 สิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย สิ่งที่ 1 มีเราจะไม่มีความขัดแย้ง สิ่งนี้คือจุดยืนทางการเมืองที่สำคัญของพรรค พปชร. ยอมรับว่า 17 ปีของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สาเหตุที่ทำให้ประเทศถดถอยมักจะเกิดจากความขัดแย้ง ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะชนะก็ตาม พรรค พปชร.มีเจตจำนงมุ่งมั่นในการเป็นพรรคที่จะสร้างสมดุลของการแข่งขันทางการเมือง ประสงค์ไม่เข้าสู่กลไกความขัดแย้ง เพราะหากเกิดความขัดแย้ง ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์กับพรรคการเมืองและประชาชน และนโยบายที่พูดกันทั้งหมดจะไม่มีความหมาย ประเทศจะถอยกลับสู่ที่เดิม พล.อ.ประวิตร ได้เปิดใจในจดหมายน้อยว่าการทำการเมืองครั้งนี้ มีความประสงค์ที่จะนำพาคนไทยและการเมืองไทยก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง หลายฝ่ายยอมรับว่า พล.อ.ประวิตร มีบารมีและประสบการณ์ สามารถที่จะโอบกอดทุกขั้วการเมืองเพื่อผ่านการขัดแย้ง และส่งผ่านการเมืองไทยไปสู่ข้างหน้าได้

สิ่งที่ 2 มีเราค่าครองชีพลดทันที ได้แก่ 1.ปฏิรูปพลังงานด้วยการปฏิรูปราคาน้ำมัน ปฏิรูปการสร้างรายได้ให้ประชาชนด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาเรือน และใช้ระบบหัก ลบ กลบ จ่าย หลังคาของประชาชนจะเกิดเป็นรายได้และลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งปรับโครงสร้างราคาแก๊ส โดยดูโครงสร้างในอ่าวไทย ให้ประโยชน์กับประชาชนที่ใช้แก๊สในครัวเรือนก่อน 2.ประชาชนมีรายได้เพิ่มทันทีจากบัตรสวัสดิการประชารัฐ 700 คน ทันทีที่พรรค พปชร.เป็นรัฐบาล วันรุ่งขึ้น ประชาชน 14 ล้านคนจะมีรายได้ 700 บาท และจะต่อยอดด้วยกลไกการสร้างงานสร้างอาชีพ ให้โอกาสฝึกทักษะ เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ได้อยู่ในเส้นรายได้น้อยตลอดไป 3.คนไทยทุกช่วงวัยจะได้รับการดูแล โดยนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 3 พัน 4 พัน 5 พัน ภายใต้อายุ 60, 70, 80 ที่ประกาศไปแล้ว

สิ่งที่ 3 มีเราเศรษฐกิจฐานรากต้องฟื้น ได้แก่ 1.แถลงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม นำพาทุกคนไปสร้างงานที่ฐานราก ตามนโยบาย มีเรามีที่ทำกิน มีเราไม่มีแล้ง ที่ประกาศไปแล้ว และที่สำคัญ โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจะต้องถูกกระจายไปสู่ประชาชนฐานราก เพื่อให้เป็นเจ้าของวัตถุดิบทางการเกษตรและมีรายได้จากโครงการดังกล่าว 2.พรรค พปชร.มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างให้เอสเอ็มอีมีโอกาสพลิกฟื้นจากภาวะเป็นหนี้ด้วยกองทุนของพรรค พปชร. เติมทุนให้ตั้งตัวได้ พัฒนาสร้างทักษะ สร้างแต้มต่อเพื่อความมั่นคงของเอสเอ็มอี 3.ยกระดับเศรษฐกิจจากเครื่องยนต์เดิม เปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเรื่องนวัตกรรม ดิจิทัล และเศรษฐกิจสีเขียว จะไม่ปล่อยให้การพัฒนาประเทศอยู่ในจุดเดิม ด้วยการเติมโครงสร้างหลักของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการอีอีซี หรือสาธารณูปโภค

ขณะเดียวกันต้องต่อเติมจุดแข็งของประเทศในภาคเกษตรไปสู่เกษตรชีวภาพ เปลี่ยนปาล์มน้ำมัน มันสําปะหลัง และอ้อย ไปสู่น้ำมันเครื่องบิน Biojet และจะต้องไปสู่ธุรกิจอาหารที่เป็นหัวใจสำคัญ ไปสู่ธุรกิจ EV ในยุคเปลี่ยนผ่านสู่รถไฟฟ้า ให้เป็นอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่

 

‘8บิ๊กเนม’ชูนโยบาย กาบัตรทางรอดประเทศ

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
ประธานคณะกรรมการด้านนโยบายและเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย

จะนำเสนอบันได 3 ขั้น คือ 1.ที่ต้องนำเสนอเรื่องแลนด์สไลด์ คือ ต้องมีพรรคใหญ่ที่สามารถชนะเลือกตั้งแล้วยืนอย่างมั่นคงในการที่จะเป็นรัฐบาล เป้าหมายแรกที่จะนำเสนอคือการจัดตั้งรัฐบาลที่ต้องมีเสียงไม่ต่ำกว่า 250 เพื่อจะสกัดกั้นการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่สนับสนุนโดยวุฒิสมาชิก ฉะนั้น ต้องมีอำนาจและเสียงข้างมากในสภา เพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่สามารถเอาชนะเสียง 250 ของวุฒิสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการทวงคืนประชาธิปไตย 2.การที่จะชูธงเพื่อให้ได้เสียงของประชาธิปไตยมาคือ ต้องกางธงเพื่อให้ได้รายได้ของประชาชนและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่ง พรรค พท.ได้เสนอนโยบายต่างๆ ที่ครอบคลุมในทุกส่วนของสังคมตั้งแต่รายได้ขั้นต่ำ พี่น้องเกษตรกร ประชาชนทั้งประเทศ เอสเอ็มอี อุตสาหกรรม และภาคอื่นๆ จะเอาเงินรายได้ที่เกิดขึ้นมาดูแลพี่น้องประชาชน ไม่นิยมการเอาปลาให้กินแค่มื้อเดียว แต่จะสอนวิธีทำมาหากิน เอาวิธีการตกปลาให้ประชาชนทุกกลุ่มเพื่อให้ยืนอยู่ได้ตลอดไป

3.การแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ยึดอำนาจของประชาชนไป จะใช้กระบวนการประชาธิปไตยคือ การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จะหยุดการสืบทอดอำนาจ สร้างอำนาจและเพิ่มอำนาจให้ประชาชน สร้างกลไกที่เป็นประชาธิปไตย กระจายอำนาจและตรวจสอบ ถ่วงดุล ทั้งนี้ ต้องมีผู้สมัคร ส.ส.ที่ใกล้ชิดกับประชาชน รู้ทุกข์สุข และนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาให้ รวมถึงต้องมีนโยบายที่แข็งแรง พรรค พท.มีความพร้อมและยังสามารถนำเอาศักยภาพซ่อนเร้นที่มาทำให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถยืนยันว่าคิดใหญ่ ทำเป็น พท.จึงเสนอตัวแทนที่จะเข้าเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นหลักประกันของการที่จะเข้าไปเป็นตัวแทนบริหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ แม้วันนี้ตนจะมาคนเดียว แต่นโยบายดีๆ ของพรรคเกิดจากคณะทำงานของพรรคเราช่วยกันระดมสมอง ได้ทำงานกันมาเป็นหมื่นชั่วโมง

สิ่งสำคัญที่เป็นเป้าหมายของเรา คือ เอาอำนาจคืนมา ฉะนั้น พท.ต้องคิดใหญ่ คิดครบ เป็นกลคิดเชิงยุทธศาสตร์เห็นต่างประเทศเข้ามายันภาคการผลิตและภาคต่างๆ นำเสนอวิธีการที่เป็นรูปธรรม นำเสนอยุทธศาสตร์ นำเสนอมาตรการพร้อมที่จะทำงาน และมีประสบการณ์ที่ผสมผสานจากคนที่มีประสบการณ์กับคนรุ่นใหม่ เพื่อยึดคืนอำนาจของประชาชน ย้ำว่า พรรค พท.คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน

สุวัจน์ ลิปตพัลลภ
ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า

การประกาศจุดแข็งของพรรคชาติพัฒนากล้า อยากจะเรียนว่าอยู่กับการเมืองมา 30 กว่าปี วันนี้สภาพบ้านเมืองบอบช้ำมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ฉะนั้นพรรคจะให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อยู่ในแนวคิด มีงาน มีเงิน ของไม่แพง วิธีการจากนี้ไป จะต้องรบบนจุดแข็ง อะไรที่ไม่ใช่จุดแข็ง ไม่รบ เอาจุดแข็งมาเป็นเศรษฐกิจ จุดแข็งที่เห็นคือ 1.สินค้าการเกษตร ไทยเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจทางด้านการเกษตร ยังไม่ได้นำเทคโนโลยี มาใช้เพิ่มมูลค่า 2.เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ในการเป็นอาหารป้อนโลก 3.ไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ทั่วโลกยอมรับ 4.ไทยเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วย ซอฟต์เพาเวอร์

นอกจากนี้ ยังต้อง ‘ล’ ลบสิ่งที่เป็นอุปสรรค มี 2 เรื่อง 1.ปัญหาความขัดแย้งในสังคม และ 2.เสถียรภาพทางการเมือง ที่ทางพรรคจะต้องเข้าไปมีส่วน สร้างเสริม และลดปัญหาสังคม

นโยบายเศรษฐกิจนั้นจะมี 1.ต้องสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่อยู่บนพื้นฐานความเข้มแข็งของเศรษฐกิจเฉดสี ที่จะมาสร้างเงินสร้างงาน ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท 2.จะให้ความสำคัญกับนโยบายการท่องเที่ยว เพราะเป็นจุดแข็ง ทำได้ทันที มั่นใจได้พรุ่งนี้บินมาเลยขอให้ปลอดภัย และมีศักยภาพอยู่แล้ว เป็นนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ รายได้จากการท่องเที่ยวไปทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล อาชีพ ไม่กระจุกแต่กระจาย คือ จุดแข็งที่จะบูมการท่องเที่ยวให้เป็น 2 เท่า ใน 4 ปีข้างหน้า 3.จะพัฒนาภาคอีสาน ซึ่งเป็นความเจ็บปวดยากจนของประเทศ จะใช้ภูมิรัฐศาสตร์ที่ได้เปรียบ ความได้เปรียบของอีสาน ที่เชื่อมโยงสู่ ลาว จีน เส้นทางสายใหม่ ยุโรป แอฟริกา สร้างอีสานให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจใหม่ คล้ายๆ กับ EEC มีเศรษฐกิจพิเศษ และใช้ความเข้มแข็งของศักยภาพมหาวิทยาลัย สนามบิน โครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ใต้ดิน มาสร้างอีสานให้เป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ เมืองอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่โคราช มีของดีอยู่ชิ้นหนึ่ง ยูเนสโกกำลังจะประกาศ ให้โคราชเป็นอุทยานธรณีโลก และเขาใหญ่ก็เป็นมรดกโลกอยู่แล้ว สะแกราช ที่ อ.ปักธงชัย เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล อยู่แล้ว 2 แห่งนี้ยูเนสโกให้การรับรอง ฉะนั้น ถ้าเดือนพฤษภาคม โคราชได้รับการรับรองให้เป็นอุทยานธรณีโลก จะเป็น 1 ใน 3 จังหวัดของโลก ที่มี Triple Crown มีมงกุฎของยูเนสโกอยู่ที่นี่ จะดีไซน์เชื่อมโยง 3 มงกุฎนี้ด้วยถนน UNESCO Route และพัฒนาให้เป็นถนนท่องเที่ยวระดับโลก จะเป็นพื้นฐานในการสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ยิ่งใหญ่ต่อไป

4.จะสร้างมอเตอร์เวย์ทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ ลดความเหลื่อมล้ำ และเป็นโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการลงทุน ท่องเที่ยว มอเตอร์เวย์ ไม่จำเป็นต้องออกจากกรุงเทพฯ มาจากภาคใต้ ภาคเหนือ อีสาน เข้าหาก็ได้ ในการที่กระจายความเจริญให้ทั่วถึง

นอกจากนั้น ยังมีนโยบายให้เป็น รัฐบาล 1 คำขอ ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความสะดวกสบาย ทันสมัย ลดการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งหลาย และอีกหนึ่งนโยบายคือ รื้อโครงสร้างพลังงาน ลดต้นทุนให้คนไทยทั้งประเทศ

พรรคชาติพัฒนากล้า เที่ยวนี้จะระดมสรรพกำลัง ผมเป็นประธานพรรค เป็นรองนายกฯมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นรัฐมนตรีว่าการมาแล้ว 7 กระทรวง หัวหน้าพรรคก็เป็นรัฐมนตรีคลังมาแล้ว เลขาธิการพรรคก็เป็นรัฐมนตรีสำนักนายกฯมาแล้ว นี่คือพลังของประสบการณ์ บวกกับดีเอ็นเอ ของทำการเมืองที่ไม่ขัดแย้งของท่าน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ฉะนั้นจะตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหาประเทศ คือ ลดความขัดแย้งทางการเมือง สร้างความยิ่งใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศ ขอให้ไว้วางใจพรรคชาติพัฒนากล้า

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
หัวหน้าพรรคก้าวไกล

รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสพูดในช่วงที่ 1 และช่วงที่ 2 เนื่องจากเป็นเหยื่อของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 จนเป็นหลอดลมอักเสบ และเสียงไม่เต็มร้อย แต่ใจเต็มร้อยแน่นอน อย่างไรก็ตามแค่ช่วงนี้ช่วงเดียวสามารถตอบทุกคำถามตั้งแต่ช่วงที่ 1 และช่วงที่ 2 ทั้งการปฏิรูปกองทัพ ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ด้วยไลด์เพียงหนึ่งสไลด์ สามารถตอบจุดแข็งของพรรคก้าวไกลด้วยคำเดียว คือ รัฐสวัสดิการ ที่จะทำให้การเมืองดี ปากท้องดี และมีอนาคต มาจากจุดแข็งย่อยที่คิดมาตลอดว่า การเมืองกับเรื่องปากท้องเป็นเหรียญเดียวกันที่แยกกันไม่ออก เรื่องเกี่ยวกับกัญชา เรื่องเกี่ยวกับแรงงาน เรื่องเกี่ยวกับฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ถ้าอำนาจทางโครงสร้างยังไม่ใช่ คนที่เข้ามาในการเมืองมาจากการลากตั้ง ไม่ใช่การเลือกตั้ง การใช้ภาษีของประชาชนเพื่อแก้ปัญหาปากท้องอย่างยั่งยืนจึงเป็นไปไม่ได้ ส่วนตัวไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะทำเหมือนเมื่อ 40 ปีที่แล้วได้ แต่ต้องมองไปถึงอนาคต ว่าประเทศจะต้องเจริญเติบโต และลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกันได้ พรรคไม่ได้มองแค่ว่าจุดแข็ง ให้กลายเป็นโอกาส แต่มองจุดอ่อนให้เป็นโอกาสด้วย ทั้งหมดนี้ สามารถย่อยออกมาได้เป็นรัฐสวัสดิการ

เมื่อพูดถึงคำว่ารัฐสวัสดิการ จะนึกถึงประเทศแถบยุโรป ที่สวัสดิการดี ภาษีแพง แรงงานได้ค่าแรงดี แต่ทั้งหมดไม่ได้มีแค่นี้ เพราะความจริงคือ เจตจำนงทางการเมือง การต่อสู้ของพี่น้องแรงงาน การที่พรรคใดพรรคหนึ่งได้ ส.ส.ในสภา มากเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ การเสนอรีดงบประมาณกองทัพ แปลงมาเป็นสวัสดิการ คือ คำพูดของ ประธานาธิบดีบิล คลินตัน ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1994 เพราะเห็นว่าความท้าทายเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เช่นเดียวกับไทย หลายพรรคการเมืองคิดว่า เบี้ยผู้สูงอายุต้องเป็น 3,000 บาทต่อเดือนแบบถ้วนหน้า เพราะทุกวันนี้ได้กันเดือนละ 600-700 บาท หาร 30 วันตกวันละประมาณ 20 บาท ถ้าคิด 3 มื้อ ตกมื้อละ 7 บาท เท่ากับไข่ต้ม 1 ฟอง จะเลี้ยงดูพ่อแก่แม่เฒ่าที่สู้มาก่อนด้วยไข่ต้ม 1 ฟองหรือ จึงต้องมีวิธีหาเงิน ซึ่งพรรคก้าวไกล มีเงินจ่ายทำได้จริง โดยการรีดไขมันจากกองทัพ การลดงบกลาง การทำภาษีความมั่งคั่ง รวมถึงต้องปรับโครงสร้าง และปฏิรูปเรื่องต่างๆ ใครที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ต้องคิดใหม่ ที่สำคัญเลือกก้าวไกล เพื่อให้ไทยก้าวหน้า

วราวุธ ศิลปอาชา
หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา

พรรค ชทพ. เชื่อว่าจุดแข็งจะต้องเป็นนโยบายที่สามารถแก้ปัญหาวันนี้และอนาคตพร้อมกัน ไม่ใช่แก้ปัญหาในวันนี้แต่ไปสร้างปัญหาในอนาคต ต้องเป็นแนวนโยบายที่สามารถแก้ไขตั้งแต่คนระดับรากหญ้าจนถึงระดับประเทศ นี่คือ สิ่งที่เรานำเสนอเกี่ยวกับ Asia-Pacific Regional Carbon Credit Center ศูนย์นี้จะทำหน้าที่วัด ประเมิน ศึกษา ซื้อขายพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต คำถามมีอยู่ว่า พอมีศูนย์นี้แล้วดีกับคนไทยอย่างไร เป็นการสอดคล้องกับนโยบาย WOW Thailand ของ ชทพ.

W : Wealth ความมั่งคั่ง การที่ทำให้มีคาร์บอน เครดิต แนวคิดนี้การพัฒนานี้จะทำให้เกิดรายได้ให้กับประชาชน พี่น้องเกษตรกร เพิ่มมูลค่าผลผลิต มีคาร์บอน เครดิตในผืนนาของตัวเอง จะทำให้ภาคธุรกิจไทยนั้นมีแต้มต่อในเวทีระดับนานาชาติ ในอนาคตอันใกล้ กำแพงภาษีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมกำลังจะเกิดขึ้นทั่วโลก ภาครัฐบาล ความน่าเชื่อถือจะเกิดขึ้น และจะเป็นหมุดหมายการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมให้กับทั่วโลก

O : Oppotunity โอกาส คำว่าคาร์บอน เครดิต เซ็นเตอร์ จะเป็นทั้งโอกาส ความหวังของประเทศไทย พลิกบทบาทของประเทศไทยในการที่จะให้คนสร้างโอกาส อาชีพ และภาคการเกษตรของประเทศไทย สามารถที่จะต่อยอดไปถึงระดับนานาชาติ ทำให้การเกษตรมีความมั่งคั่ง มีรายได้เพื่อดึงลูกหลานไทยกลับเข้ามาอยู่ภาคการเกษตรใหม่ การลงทุนทั้งภาคธุรกิจ ทั้งต่างชาติ การทำงานนอกสถานที่ การใช้ชีวิตหลังเกษียณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ แนวคิด และการปฏิบัติเรื่องคาร์บอน เครดิต ท้ายที่สุดเกี่ยวกับเรื่อง W : Welfare ดูแลสุขภาพพี่น้องประชาชนที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน การมีคาร์บอน เครดิตขึ้นมา จะทำให้ฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยหายไป การจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น การที่ภาคเกษตรจะเป็นภาคเกษตรอย่างยั่งยืน สิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ จะเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรมมากขึ้นบนเวทีนานาชาติ แนวคิดเหล่านี้ไม่ใช่แนวคิดที่ไกลเกินตัว

สิ่งที่พรรค ชทพ. นำเสนอไม่ใช่สิ่งที่จะพูดขึ้นในอนาคต ไม่ใช่สิ่งที่จะทำ เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยหลายจังหวัด ชาวนาได้รายได้จากการขายคาร์บอน เครดิต ไร่ละ 500 บาท/ปี ประเทศไทยมีพื้นที่นาอยู่ 60 ล้านไร่ คิดเป็นเงินเกือบ 30,000 ล้านบาท ที่จะมาอยู่ในกระเป๋าของชาวนา ไม่ใช่กระเป๋าของนายทุน นี่คือ แนวคิดของประเทศไทย เป็นแนวคิดของพรรค ชทพ. ที่บอกว่า แนวนโยบายที่ดี ไม่ใช่ดูแลแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แนวนโยบายที่ดีจะต้องดูแลตั้งแต่คนตัวเล็ก ไปอุ้มเขาขึ้นมาให้ก้าวทันระดับนานาชาติ ดูแลคนระดับภาคธุรกิจให้สามารถทำงานเทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ ได้ ที่สำคัญ จะต้องเป็นนโยบายพลิกโฉมประเทศไทยให้ไปยืนอยู่ท่ามกลางนานาอารยประเทศ โดยที่ไม่ต้องไปอายใคร

แนวคิดของพรรค ชทพ. ที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ไปยืนอยู่บนเวทีโลกมาแล้ว วันนี้กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าโลกใบนี้ให้ประเทศอื่นๆ เห็น เราจะอุ้มคนตัวเล็ก อำนวยความสะดวกคนตัวโต จะทำให้ประเทศไทยยั่งยืนจนถึงชั่วลูกชั่วหลาน นี่คือแนวคิดของ WOW Thailand คิดไปจนถึงอนาคต ตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปจนถึงระดับนานาชาติ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย

จุดแข็งของไทยสร้างไทยคือ 1.คิดต่าง วันนี้ไทยสร้างไทยมาเพื่อที่จะสร้างให้ประชาชนชนะ การเมืองที่ผ่านมา 17 ปีสร้างความพ่ายแพ้ให้กับประชาชน การเมืองติดลูปความขัดแย้งมา 17 ปี ตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมา และการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญที่เรียกว่าเป็น Last War ของทั้งสองขั้วอำนาจ ไม่อยากที่จะเห็นว่าจบการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นวิกฤตชาติครั้งใหม่ ต้องการที่จะให้ประเทศไทยสามารถเดินต่อได้ ไทยสร้างไทยไม่คิดเป็น Last War แต่คือจุดเริ่มต้นของอนาคตประเทศไทย จะทุ่มเทประสบการณ์ของตนและผู้ก่อตั้งพรรค ทสท.มาสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุดเพื่อส่งมอบให้คนต่อไป ทสท.มาเพื่อเสียสละ ส่วนตัวคิดแบบคนเป็นแม่ที่ห่วงอนาคตของลูกตัวเองและลูกคนอื่น มาสร้างให้ประชาชนชนะเพราะประชาชนแพ้มาตลอด คนไทยต้องอยู่อย่างมีความมั่นคง อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีตั้งแต่เกิดจนแก่

2.คิดเพื่อคนตัวเล็ก เพราะคนตัวเล็กตั้ง SMEs ไปจนถึงเกษตรกรคือ คนส่วนใหญ่ของประเทศ คนตัวเล็กคือ สเปกของ ทสท.ที่จะ Empower และ Liberate ให้หายจนให้ได้ เราจะเปลี่ยนรูปร่างของเศรษฐกิจจากสามเหลี่ยม ที่รวยกระจุกจนกระจาย เป็นลูกรักบี้ รวยนิดเดียวจนนิดเดียวนอกนั้นพออยู่พอกิน

3.กล้าคิด จะทำให้ประเทศไทยยืนหนึ่งบนแผนที่การแข่งขันโลก วันนี้เศรษฐกิจไทยโตช้ากว่าคนอื่นมากและเราหมดเสน่ห์ในด้านการลงทุนไปแล้ว ต้องสร้าง New Engine ใหม่ที่จะมารีสตาร์ตเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยด้วยโปรเจ็กต์แรกที่เราจะทำคือ Global Gateway จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเดินทางและขนส่งของภูมิภาคและของโลก ที่สำคัญต้องสร้างพื้นที่ที่จะดึงดูดการลงทุนจากคนทั่วโลกให้มาลงทุน จะต้องพลิกวิกฤตโลกให้เป็นโอกาส

4.สุจริต โมเดลการปราบโกง จะทำสงครามกับคอร์รัปชั่น ลากคนโกงทั้งนักการเมืองและข้าราชการมาติดคุก 5.คิดแล้วทำทันที ไม่มี ส.ส.ในสภา แต่ได้เสนอกฎหมายเข้าสภาไปแล้ว 4 ฉบับที่เกี่ยวกับแต้มต่อและการสร้างพลังให้กับประชาชน

วันนี้ไทยสร้างไทยขอเป็นทางรอดของประเทศไทย ยุติความขัดแย้งทางการเมืองสองขั้ว มาช่วยกันจุดไม้ขีดคนละก้านเพื่อแสงสว่าง เผาไล่ความมืดมิด กำจัดการสืบทอดอำนาจเผด็จการ คอร์รัปชั่น อำนาจนิยมที่กดหัวคนไทย มาสร้างให้คนไทยชนะ และมั่นใจว่าทำได้แน่นอน

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image