ถอดรหัสหาเสียง ‘โซเชียล’ โดนใจ ปชช.ลงคะแนนแค่ไหน?

ถอดรหัสหาเสียง‘โซเชียล’ โดนใจ ปชช.ลงคะแนนแค่ไหน?

หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการเกี่ยวกับการหาเสียงผ่านโซเชียลมีเดีย โมเดล ของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ จะหวังผลได้มากน้อยเพียงใด

ยอดพล เทพสิทธา
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ต้องอธิบายก่อนว่า แต่ละพรรคการเมืองมีงบประมาณในการหาเสียงค่อนข้างจำกัด บางพรรคได้งบประมาณมาจากผู้บริจาคบ้าง จากกิจกรรมบางส่วนพรรคก้าวไกลถ้าจำไม่ผิดเป็นลักษณะการทอดผ้าป่า มีทรัพยากรน้อยกว่าพรรคอื่นๆ เพราะฉะนั้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ช่องทางออนไลน์และสื่อโซเชียล เป็นอีกช่องทางหนึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในราคาไม่แพง ผู้สมัคร ส.ส.ของก้าวไกลแต่ละคนมีช่องทางสื่อสาร ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ บางคนมีติ๊กต็อก บางคนมีทินเดอร์ ช่องทางโซเชียลทั้งหลายเหล่านี้สามารถให้คนเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่เสียเงิน และรายจ่ายน้อย

Advertisement

แต่ในทางกลับกันพรรคก้าวไกลก็ถูกอีกฝ่ายโจมตีผ่านสื่อโซเชียลเช่นเดียวกัน เช่น ข่าวของคุณทิม พิธา(ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค) ถูกโจมตีกรณีงานศพของคุณพ่อ จากที่สำรวจคิดว่าจะไม่มีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นต่อพรรคก้าวไกล คุณทิมออกมาชี้แจงแล้วว่าไทม์ไลน์เป็นอย่างไร ไม่ใช่ปัญหา หากถูกโจมตีทางโซเชียล ขณะเดียวกันก็ชี้แจงทางโซเชียลได้เช่นกันส่วนเรื่องเฟคนิวส์ ต้องเข้าใจก่อนว่าสื่อโซเชียลมีหลายช่องทาง ไม่ใช่แค่เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยังมีไลน์หรือกลุ่มไลน์คอยส่งข้อมูลให้กัน กลุ่มไลน์เป็นเหมือนจุดกำเนิด เหมือนฟอร์เวิร์ดเมล์ในยุคอดีต เป็นเฟคนิวส์ก็ค่อนข้างเยอะ อย่างเช่น เรื่องบำเหน็จบำนาญข้าราชการ อ้างว่าพรรคก้าวไกลจะไปตัดทิ้ง ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องจริง ข้อมูลเหล่านี้คือกระจายอยู่ตามกลุ่มไลน์ พรรคก้าวไกลเองก็อาจต้องทำงานหนัก ในแง่การชี้แจงต่อสาธารณชนว่าแนวคิดของพรรคเป็นอย่างไร สำหรับคนใช้โซเชียลในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์ก อาจจะเป็นไลน์หรือช่องทางอื่น

ด้านประสิทธิภาพการหาเสียงลักษณะนี้ค่อนข้างได้ผล เพราะเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่าย คนรุ่นใหม่จะเน้นการค้นข้อมูล ถ้าถามว่าข้อมูลที่หาได้ง่ายและรวดเร็วจะสามารถหาได้จากที่ไหน ก็คงต้องตอบว่าอินเตอร์เน็ต ดังนั้นการใช้กลยุทธ์ของพรรคก้าวไกลนำสื่อโซเชียลมาเป็นเครื่องมือหาเสียง ส่วนตัวคิดว่าตอบโจทย์ของกลุ่มเป้าหมายของพรรคก้าวไกล ก็คือกลุ่มประชากรที่เป็น นิว โหวตเตอร์ (New Voter) หรือไม่ก็เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้แน่นอน หากดูจากการแบ่งกลุ่มอย่างเจนบูมเมอร์ ข้าราชการเกษียณอายุ อาจติดตามข่าวสารผ่านกลุ่มไลน์ อาจเข้าไม่ถึงสื่อโซเชียลในรูปแบบอื่น เพราะกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนยุคเคยชินกับการหาเสียงรูปแบบเก่า ลักษณะนี้อาจต้องมีป้าย หรือเคาะตามประตูบ้าน ให้นักการเมืองไปประกบกลุ่มคนเหล่านี้ ส่วนตัวมองว่าพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้ทิ้งการหาเสียงรูปแบบเก่า จะเห็นว่าทุกวันนี้ก็จะหาเสียงทั้งในรูปแบบออนไลน์และการลงพื้นที่ควบคู่ไปด้วยกัน

ช่วงหลังนี้พรรคก้าวไกลกลับมาตีตื้นได้จากการนำเสนอนโยบาย หรือจากเวทีดีเบตที่ผ่านมา ส่วนตัวมองว่าเป็นการสร้างกระแสในสื่อออนไซต์มากขึ้น ไม่ใช่เพียงกระแสจากช่องทางออนไลน์ จุดแข็งของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งนี้คือนโยบาย เป็นจุดแข็งดึงดูดประชาชนค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นคนในวัยทำงาน นักศึกษาจบใหม่ เฟิร์สต์ จ๊อบเบอร์ (First Jobber) หรือวัยรุ่น และเด็กในยุคใหม่ คือสามารถตอบสนองความต้องการในอนาคตได้ เช่น เงินที่เสียภาษีไปทุกบาท ทุกสตางค์ เราจะได้รับอะไรกลับมาบ้างและอย่างไร พูดให้เห็นภาพตามได้ง่ายคือ เรามองเห็นอนาคตได้จากการทำงาน จากเงินที่เสียภาษี

Advertisement

ขอเปรียบเทียบกับนโยบายของพรรคการเมืองหนึ่งขอไม่พูดชื่อพรรค เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ มีพรรคหนึ่งพูดว่าจะไม่เน้นการแจกสวัสดิการ จะให้ประชาชนเก็บหอมรอมริบด้วยตนเอง ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า พนักงานบริษัทหรือคนวัยทำงานที่เสียภาษีไป ถ้าหากรัฐบาลมีความคิดเห็นลักษณะนี้ ถ้ารัฐบาลไม่อุ้มชูประชาชน จะมีหน่วยงานไหน หรือใครจะมาช่วยอุ้มชู ทำให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างนโยบายของพรรคนี้กับพรรคก้าวไกลชัดเจน กรณีนี้จึงเป็นเหตุผลที่นโยบายของพรรคก้าวไกลถูกใจกลุ่มคนวัยทำงาน First Jobber และคนรุ่นใหม่ได้มากกว่า ถ้าหากเปรียบเทียบจากพรรคที่ยกตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าคนเริ่มถอยห่างมากขึ้น แน่นอนว่าพรรคก้าวไกลก็ถูกโจมตีเรื่องนโยบายสวัสดิการเช่นกันว่ามีสวัสดิการจะเป็นภาระ ต้องใช้งบประมาณกี่แสนล้าน พรรคก้าวไกลก็แก้เกมด้วยการติดป้าย อธิบายว่าใช้งบประมาณส่วนนี้ 650,000 ล้านบาท พร้อมกับวิธีหาเงิน ประชาชนก็ไม่ได้ค้างคาใจ ส่วนตัวเลยมองว่าพรรคการเมืองอื่น ทำให้พรรคก้าวไกลโดดเด่นมากขึ้นด้วยซ้ำ

จากกรณีผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกมากกว่า 3 ล้านราย ส่วนตัวคิดว่าพรรคก้าวไกลจะถูกใจ กินใจกลุ่มคนเหล่านี้ได้จำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม เด็กและเยาวชนเติบโตมาจากครอบครัว และแนวคิดทางการเมืองแตกต่างกัน ดังนั้นถ้าถามว่าเสียงของกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นของพรรคก้าวไกลทั้งหมดหรือไม่ อาจจะเป็นส่วนมาก แต่ไม่ทั้งหมด

รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส
คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก

ก ารรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในขณะนี้ ยกตัวอย่างของพรรคก้าวไกลครั้งนี้ เรื่องแรกคือตัวผู้ส่งสารบรรดาตัวแทนของพรรคขึ้นเวทีปราศรัย เวทีดีเบต จะเห็นว่าคุณสมบัติของผู้ส่งสารพรรคก้าวไกลพูดเก่งทุกคน หาเสียงได้ทุกเวที ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงของผู้สมัคร รวมไปถึงผู้ช่วยหาเสียง คุณสมบัติแบบนี้หาไม่ได้ในพรรคอื่นๆ พรรคอื่นจะมีตัวตึง 2-3 คน หมายความว่าตัวผู้ส่งสารของเขาทุกคนสามารถกระจายกันไปหาเสียงตามพื้นที่ต่างๆ ได้

ในแง่ของเนื้อหาสาระ ต้องบอกว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายทุกอย่างที่ทุกพรรคมี ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการคนสูงวัย ผู้ด้อยโอกาส ค่าแรงขั้นต่ำ การลดค่าพลังงาน แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือ ข้อเสนอแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ ทำให้โดดเด่น ได้แก่ ข้อเสนอการแก้ไขมาตรา 112, การเอาทหารออกจากการเมือง, การลดงบทหาร และการไม่เกณฑ์ทหาร เหล่านี้คือความโดดเด่นที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น ในทางการตลาดทางการเมืองตัวนโยบายที่คนอื่นเขามี พรรคเราก็ต้องมี แต่ถ้าเรามีมากกว่าคนอื่น มันคือความโดดเด่น และแตกต่าง

ด้านของตัวสื่อ ทั้งสื่อออนไลน์และออนไซต์ พรรคก้าวไกลทำได้ครบและค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านออนไลน์ เขาสร้างกระแสได้มากกว่าสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ ตอนนั้นมีตัวฟีเวอร์อยู่ที่คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่ครั้งนี้ฟีเวอร์ทั้งพรรค ตัวบุคลากรของเขาไม่ว่าจะเป็น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รังสิมันต์ โรม วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ศิริกัญญา ตันสกุล และณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เขาเหล่านี้สามารถสร้างกระแส สร้างไวรัลได้ จึงไม่มีลักษณะกระจุกตัวอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง กระแสกระจายกันไป ฉะนั้นการรณรงค์หาเสียงครั้งนี้ พรรคก้าวไกลสามารถยึดครองพื้นที่สื่อได้เยอะกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ

มาถึงกลุ่มผู้รับสาร ก็มีการขยายตัวไป จากคนที่อายุน้อย เช่น เจนแซด สามารถขยายไปยัง เจนเอ็กซ์ เจนวาย และเบบี้ บูมเมอร์ ตอนนี้คนจะเลือกก้าวไกลไม่ใช่แค่คนอายุน้อยแล้ว คนอายุมากก็เริ่มหันมามองว่าพรรคการเมืองพรรคนี้ เขาเสนออะไรที่มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่คนอายุมากส่วนใหญ่จะมีลักษณะค่อนข้างอนุรักษนิยม แต่มันเกิดปรากฏการณ์อะไรบางอย่าง หมายเหตุเอาไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าคนที่อายุมากหันมาสนใจพรรคก้าวไกล

ในกระบวนการสื่อสารที่กล่าวมาทั้งหมดคือ SMCR ทั้งตัวผู้สื่อสาร สาร ตัวสื่อ และตัวผู้รับสาร สอดประสานกันออกมาในทิศทางเป็นบวกจากพรรคก้าวไกล หากถามว่าพรรคก้าวไกลมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้อย่างไร จุดเด่นคือความชัดเจน กล้าประกาศทุกเวทีว่าไม่ร่วมกับพรรคที่จะทำรัฐประหาร ไม่อ้ำอึ้ง ทุกคนพูดตรงกัน สามารถเช็กได้ทุกเวที

ที่สำคัญคือได้อานิสงส์จากการทำผลงานตลอด 4 ปีในสภา ได้อภิปรายเปิดโปงธุรกิจมากมาย ทำให้คนเริ่มเห็นสิ่งที่เป็นผลงาน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นรัฐบาล การเป็นฝ่ายค้านของพรรคก้าวไกลทำให้คนได้ประโยชน์ หูตาสว่างขึ้นมาจากสิ่งที่ได้ทำ รวมๆ กันแล้วคือความโดดเด่นของพรรคก้าวไกลในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้

การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทุกครั้ง จะมีลักษณะคู่แข่งเริ่มขุดกัน พรรคก้าวไกลก็อยู่ในกระแสเริ่มมีการขุด เช่น เรื่องของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค เป็นสิ่งหนึ่งต้องบอกว่าคนที่เป็นนักการเมืองต้องเผชิญ เมื่อถูกขุดหรือมีการปล่อยกระแสอะไรออกมา ผู้ถูกกล่าวถึงต้องออกมาชี้แจง แสดงข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตนของเขาคนนั้น จะเรียกว่าตรงนี้เป็นจุดอ่อนก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคการเมือง และนักการเมืองที่โดดเด่น จะกลายเป็นเป้าสายตาและถูกขุดมากกว่าคนอื่น

ตรงนี้พรรคก้าวไกล รวมทั้งคนถูกกล่าวถึงไม่ว่าจะเป็นคุณพิธา หรือใครต่อใคร ต้องออกมาชี้แจงให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้ประชาชนและสังคมได้รับรู้ เรียกง่ายๆ ว่าเคลียร์ตัวเองให้ชัดเจน แล้วคนเขาจะตัดสินใจได้ว่าควรจะเลือกหรือไม่เลือก ถ้าเราชัดเจน มีข้อมูลอธิบายกับสังคม ส่วนนี้สังคมก็จะเข้าใจ และเขาก็จะตัดสินใจได้

พรรคการเมืองทุกพรรค เมื่อประกาศตัวลงรับสมัครเลือกตั้งต้องพร้อมเป็นรัฐบาล เพราะสิ่งที่ประกาศออกไปคือความหวังของคนที่เลือกเขา เพราะอยากได้นโยบายที่เขานำเสนอ ไปสู่นโยบายสาธารณะให้สำเร็จ เพราะฉะนั้นการที่พิธาประกาศโรดแมปว่า ถ้าเป็นรัฐบาลเขาจะทำอะไรบ้าง ในความเป็นจริงคงมีความรู้สึกว่าเขาอาจจะไม่ใช่แกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่เขาอาจจะร่วมรัฐบาลได้ และเมื่อเขาได้ร่วมรัฐบาล ก็สามารถเป็นรัฐบาลที่นำเอานโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ไปปฏิบัติได้ นี่คือความพร้อม

และเขาต้องกล้าจะเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ว่าประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน จุดนี้ทำให้คนไม่เลือก เพราะรู้สึกว่าเลือกไปทำไม เลือกไปเป็นฝ่ายค้าน เขาอยากได้นโยบายมากกว่า การประกาศแบบนี้ทำให้บรรดาคนที่จะไปเลือกเขาเกิดความมั่นใจว่าถ้าเลือกเขาไปมากพอ เขาเป็นรัฐบาลได้เขาก็พร้อมจะเป็นรัฐบาล

แต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ถ้าไม่มากพอต้องเป็นฝ่ายค้าน เขาก็เป็นฝ่ายค้านที่ดีได้ นี่คือสิ่งที่พรรคการเมืองทุกพรรค นักการเมืองทุกคน จะต้องกล้าประกาศเช่นนี้ ถ้าไม่กล้าจะประกาศว่าเป็นรัฐบาลหมายความว่าสิ่งที่คุณหาเสียงไป นโยบายต่างๆ คุณไม่สามารถทำได้ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นการประกาศความพร้อมนี้เป็นสิ่งที่เป็นบวกมากกว่าเป็นลบ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image