‘เศรษฐา’ปลุกเข้าคูหา กาถล่มทลาย-สะท้อนความต้องการ

‘เศรษฐา’ปลุกเข้าคูหา
กาถล่มทลาย-สะท้อนความต้องการ

⦁โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ตั้งแต่เปิดตัวกับพรรคเพื่อไทย (พท.) การหาเสียงที่ผ่านมาพอใจหรือยัง มีเรื่องใดที่ยังนำเสนอต่อประชาชน ไม่ครบถ้วนหรือไม่ อย่างไร
มีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการปราศรัยของผม ผมเป็นมือใหม่ การลำดับเรื่อง การลงรายละเอียดของแต่ละนโยบายเพิ่งจะมาลงตัว ในช่วงท้ายๆ ตอนต้นๆ ก็ยังมีความประหม่า คิดว่าหากดึงเวลากลับได้ก็คงจะใช้สมาธิมากยิ่งขึ้น และลงรายละเอียดของนโยบายมากยิ่งขึ้น
อีกข้อหนึ่งเป็นปัญหาคือเวลาไม่พอ วันหนึ่งอยากให้มีเยอะมากกว่า 24 ชั่วโมง จะได้เดินทางได้อีก เพื่อจะได้พบปะพี่น้องประชาชนได้อีก แล้วอยากจะไปให้ครบทุกจังหวัดด้วย รวมทั้งอยากจะคุยวงเล็กกับ
ผู้ประกอบการ ผู้นำทางด้านความคิดในทุกๆ ภูมิภาคให้เยอะกว่านี้ เพราะพอมีการพูดคุยกันเป็นการสื่อสารกันสองทาง ต่างจากการขึ้นเวทีปราศรัยที่เป็นการพูดทางเดียว และเมื่อเกิดการพูดคุยกันก็เกิดข้อมูล เกิดการถกเถียง เกิดปัญญา และเกิดทางออกรวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาได้

⦁สิ่งที่พอใจและทำได้ดีตั้งแต่ทำการลงพื้นที่หาเสียงมา
ไม่มีครับ ผมคิดว่าไม่มี ยังไม่มีเรื่องใดที่เพอร์เฟ็กต์ แต่เป็นเรื่องที่ยังติดขัดอยู่บ้าง ในบางจังหวัดทำไมจัดได้แค่ 4 เวที ทำไมไม่ไปอีกอำเภอหนึ่งให้เป็น 5 เวที บางทีทำไมไม่เดินตลาดอีกหน่อยนึง ทำไมเสร็จปราศรัย ตอนทุ่มครึ่ง น่าจะไปเดินตลาดโต้รุ่งได้ แต่ตลาดก็วายไปแล้ว ก็ยังมีนิดๆ บางทีก็ยังมีว่ารู้อย่างนี้ทำไมไม่ไปไฟลต์เร็วขึ้นอีกวัน คือมันมีรายละเอียดของการบริหารจัดการ

⦁หากประเมินตัวเองเป็นตัวเลขคะแนนเต็ม 10 ให้ตัวเองเท่าไหร่
ผมประเมินตัวเองให้ 7 เต็ม 10 คะแนน

Advertisement

⦁มีนักวิเคราะห์ระบุว่าเกือบ 95% ของประชาชนส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะเลือกพรรคใด แต่ว่าอีกกว่า 5% ที่เหลือจะตัดสินใจหน้าคูหา การปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย จะมีกลยุทธ์ใดที่จะดึงกลุ่ม 5% นั้นให้มาเลือกพรรค พท.
คงไม่ใช่แค่การปราศรัยใหญ่ปิดท้ายการหาเสียงเพียงอย่างเดียว การสื่อสารออนไลน์ ออฟไลน์ หลายๆ เรื่อง เราคิดว่าพลังเงียบที่ยังไม่ตัดสินใจ ยังคิดอยู่ว่าจะเลือกใคร เราต้องลงไปนวดนโยบายของพรรค พท.ให้ชัดเจนขึ้น เขียนให้ชัดเจนขึ้นว่าการเลือกตั้งแบบยุทธศาสตร์คืออะไร สิ่งที่พี่น้องประชาชนพบปะมา 8 ปี
มันเป็นความหายนะของประเทศชาติอย่างไร แต่เราไม่ได้เขียนภาพความกลัวอย่างเดียว ต้องให้ชัวร์ว่า ถ้าเกิดเลือกพรรค พท.แล้วได้อะไร ไม่ผิดที่จะมีความฝัน ความฝันไม่ต้องมีต้นทุน ไม่ต้องจ่ายเงิน ผมคิดว่าวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาพรรค พท.ทั้งสองใบประเทศเปลี่ยนทันที นั้นอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เราอยู่บนบริบทของประเทศไทยที่เจอปัญหามา พรรค พท.มีบุคลากรพร้อม มีแคนดิเดตนายกฯ 3 คน มี
นโยบายที่โดนใจพี่น้องประชาชนทุกๆ ภาคส่วน เรามีประวัติมากว่า 20 ปี เลือกตั้งทุกครั้งได้รับการยอมรับที่สุด นโยบายดีที่ยังใช้กันมาทุกวันนี้ เราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง

⦁ถึงวันนี้ยังมั่นใจในเป้าหมายการชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ 270 เสียง 280 เสียง หรือ 310 เสียง ยังมั่นใจว่าจะทำได้
มั่นใจครับ ยังมั่นใจ ถึงวันนี้ก็ยิ่งไปเชียงใหม่มา ไปภาคเหนือมา ลงพื้นที่กรุงเทพฯ ก็ยังมีความมั่นใจว่าพรรค พท.จะชนะเลือกตั้ง
ผมมั่นใจว่าพรรค พท.ได้เสียงส่วนมาก ขึ้นอยู่กับพลังเงียบ ทั้งนี้อยากจะเชิญชวนเลือกตั้งแบบยุทธศาสตร์ เลือกให้ชัวร์ เพราะเลือกพรรค พท. เราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการฝัน

⦁ช่วง 2-3 วันก่อนเลือกตั้ง เริ่มจะมีการใช้วิชามารในการซื้อเสียงบ้าง ปราศรัยโจมตีคู่แข่งบ้าง มองว่าจะส่งผลแค่ไหน อย่างไร
การเมืองพัฒนาไปเยอะมากแล้ว และการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งครั้งที่สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย พี่น้องประชาชนได้รับการสื่อสาร ได้รับการให้ข้อมูลที่เยอะมาก จากออนไลน์ ออฟไลน์ ต้องขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนที่ให้การกระตือรือร้นในการ กระจายนโยบาย ผมมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนมีวุฒิภาวะ มีจิตใต้สำนึกที่ดี รักชาติ อยากเห็นประเทศเดินไป
ข้างหน้าได้ เพราะฉะนั้นคนที่ออกวิชามารเหล่านี้มา ก็จะพบปะกับเรื่องที่ไม่ดี

Advertisement

⦁ในเรื่องของการจับขั้วพรรคเพื่อไทยชัดเจนแล้วว่าไม่จับกับพรรคการเมืองที่เชื่อมโยงกับการทำรัฐประหาร แต่หากได้เสียงถึง 310 เสียง ยังจำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาลผสม
พรรค พท.เองก็มีพรรคพวก มีพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคร่วมอุดมการณ์ทางด้านประชาธิปไตยที่ไม่เอาเผด็จการ แต่ต้องมาปรับกันในเรื่องของนโยบายรายละเอียด ในการที่จะทำงานร่วมกันในอนาคต

⦁ยืนยันได้ชัดเจนหรือไม่ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมอย่างพรรคก้าวไกล (ก.ก.) จะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ พรรค พท.จะเลือก
ไม่มีอันดับหนึ่ง ขึ้นอยู่กับคะแนนมากกว่า ถ้าพรรค ก.ก.ได้รับเลือกตั้งมาเยอะหรือได้มาน้อย ก็เป็นอีกหลายๆ ทางเลือก แล้วก็เป็นเรื่องรายละเอียดของนโยบายที่ต้องมาคุยกัน เช่น ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เปรียบเทียบกับสมัครใจเกณฑ์ทหารต่างกันอย่างไร การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือยกเลิกมาตรา 112 ต้องพูดคุยกันให้ชัด ถ้ายกเลิกมาตรา 112 พรรค พท.ก็ไม่เอา เพราะก็ยังมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนกันอยู่ แต่ว่าส่วนตัวของผมไม่มีอะไรขัดแย้งกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก.

⦁ถ้านโยบายของพรรค พท.กับพรรค ก.ก.คุยกันแล้วไม่ลงตัวจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะจับมือร่วมกันทำงานได้
อย่างที่ผมเรียน นโยบายของพรรค พท. ถ้าเกิดพรรค พท.ได้ฉันทามติว่าเป็นพรรคเสียงส่วนมาก แต่อาจจะได้เสียงรวมแล้ว 300 กว่าเสียง ก็ต้องพิจารณาจับมือกับพรรคที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน มีหลายๆ พรรคที่พูดคุยกัน แล้วบางเรื่องเขาก็ต้องชัดเจนขึ้น พรรค พท.ก็ไม่ใช่ว่าจะถือว่าเราเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมาก เราเองก็ต้องฟัง อย่างเช่น กัญชาเสรีพรรค พท.ไม่เอา แต่ถ้าเขายอมถอยเรื่องกัญชาเสรีเป็นกัญชาเพื่อการแพทย์ เราไม่ได้ขัดแย้งกันที่ตัวบุคคล เราก็คุยกันได้

⦁หากจำเป็นต้องจับมือผสมข้ามขั้ว เช่น พรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อาจจะมีคนที่เลือกพรรค พท.ส่วนหนึ่งที่ไม่ได้สนับสนุนพรรครัฐบาลเดิม กังวลหรือไม่
ก็ต้องมี เพราะต่างคนก็มีอุดมการณ์ต่างกันไป เราเองต้องเลือกข้างที่เราทำงานร่วมกันได้เยอะที่สุด แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งที่จะออกมามากกว่า ที่จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในทางการเมือง

⦁ไม่ได้ปิดประตูการจับมือระหว่างพรรค พท.กับพรรค ปชป.
ไม่ได้ปิด แต่ลำดับความสำคัญของพรรค พท. คงต้องมาจากพรรคที่มีนโยบายที่เหมือนกันก่อน แต่อย่าลืมว่า พรรค ภท.กับพรรค ปชป.ก็มีนโยบายที่พรรค พท.ยังไปด้วยกันได้บ้าง แต่บางนโยบายต้องมาชี้แจงพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อนที่จะทำงานร่วมกัน

⦁มองเรื่องแนวคิดการเสนอรัฐบาลเสียงข้างน้อยอย่างไร
ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนไม่รับ เป็นไปไม่ได้และการบริหารจัดการก็คงไม่ได้ เพราะว่าในหลายๆ ขั้นตอนทางด้านกลไกรัฐสภา ก็ไม่สามารถยอมรับได้ รัฐบาลเสียงข้างน้อยเสนอวาระอะไรมาก็ถูกตีตกหมด แล้วประเทศชาติจะเดินต่อได้อย่างไร นั่นคือ ที่มาที่ไปที่พรรค พท.พยายามรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์ ให้เลือกตั้งให้ชัวร์ ว่าเราต้องได้คะแนนเสียงเยอะพอที่ไม่ต้องพึ่งเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ถ้าไม่มี ส.ว.มาโหวตนายกฯ
คำว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ถูกปิดประตูไป

⦁อยากฝากเรื่องใดถึงคนที่มีความคิดเรื่องการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ไม่มีครับ ผมเชื่อว่าจิตใต้สำนึกเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ผมคิดว่าประเทศบอบช้ำมานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองเอง ฝ่ายรัฐบาลเอง ฝ่ายที่จะแพ้หรือฝ่ายที่จะชนะเอง ผมเชื่อว่าจิตใต้สำนึกของทุกคนมีความประสงค์ที่จะให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า วันนี้เราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงว่าประเทศบอบช้ำ พรรคการเมืองใดที่พร้อมเสนอตัวเข้ามา นโยบายโดนใจ มีทีมงานที่พร้อม เรามั่นใจว่า พรรค พท.ตอบโจทย์ในเรื่องที่ได้กล่าวมา

⦁บทบาทและอำนาจของ ส.ว.ที่สามารถโหวตเลือกนายกฯได้อยู่ พรรค พท.มีความกังวลหรือไม่
ก็มีความกังวลเป็นธรรมดา เพราะตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ เขาก็มีสิทธิโหวตได้ เพราะฉะนั้นเรื่องยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง เป้าหมายที่ชัดเจน พรรค พท.ต้องชนะให้ขาด ต้องให้ชัวร์ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องช่วยกันรณรงค์และสื่อสาร

⦁อยากฝากอะไรถึงประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้
มี 2 เรื่อง เรื่องแรกคืออยากให้ใช้เสียงกันเยอะๆ อยากให้เป็นนิมิตหมายใหม่เลยว่าประชาชนมาใช้เสียงอย่างถล่มทลายเยอะที่สุด เพราะเราอยากจะสะท้อนความต้องการของพี่น้องประชาชน และอย่างที่เรียนว่า ประเทศชาติบอบช้ำมาเยอะในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา คนอยากทำนู้น อยากทำนี่ ฝันนู้น ฝันนี้ได้ ฝันไม่ต้องจ่ายเงิน จะฝันอะไรก็ฝันได้ แต่เช้าวันที่ 14 พฤษภาคม เราต้องตื่นมาเดินเข้าคูหาอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง อยู่บนพื้นฐานของประเทศไทยจริงๆ ว่าเราต้องการอะไร เราต้องการผู้นำแบบไหน เราต้องการนักการเมืองที่สั่งสมประสบการณ์มายาวนานขนาดไหน นโยบายเด็ดๆ ดีๆ ถูกนำเสนอมาทำได้มาก่อนในอดีตไหม แล้วนโยบายปัจจุบันที่เสนอน่าสนใจไหม ถ้าเกิดคำตอบว่าโดน
คำตอบว่าใช่ กาพรรค พท. 2 ใบ ประเทศเปลี่ยนทันที

⦁พูดให้ความมั่นใจว่าถ้าพรรค พท.ได้เป็นรัฐบาล นายกฯต้องมาจากพรรค พท.แน่นอน
ถ้าพรรค พท.ได้รับเสียงเป็นส่วนมาก 200 กว่าเสียง อาจจะ 200 กว่าเสียงปลายๆ หรือได้ 300 กว่าเสียง ไม่มีเหตุผลใดทั้งสิ้นที่นายกรัฐมนตรีจะมาจากพรรคอื่น นายกรัฐมนตรีต้องมาจากพรรค พท. ต้องเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกฯของพรรค พท. ซึ่งเราทั้ง 3 คน พร้อมที่จะเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรค พท.มีกระบวนการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกฯอยู่แล้ว
ถ้าในส่วนของผมก็ยืนยันว่า พร้อมเป็นนายกฯ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image