Maleficent 2: Mistress of Evil ไม่ประทับใจเท่าภาคแรก

Maleficent 2: Mistress of Evil ไม่ประทับใจเท่าภาคแรก

Maleficent 2: Mistress of Evil ไม่ประทับใจเท่าภาคแรก

ตอนดู Maleficent ภาคแรก ไม่คิดว่าจะมีภาคต่อ แม้หนังจะน่าสนใจ ที่เอาเรื่อง Sleeping Beauty มาตีความใหม่ พลิกบทเจ้าหญิงออโรร่า แทนที่จะเป็นตัวเด่นของเรื่อง ก็ให้เป็นแค่นางเอก แต่เอาตัวละครที่เป็นตัวร้ายตามตำนานมาเป็นตัวเอกและตัวเด่นของเรื่อง เล่าแผลเก่าในชีวิตที่ทำให้มาเลฟิเซนต์กลายเป็นนางพญาปีศาจ

ภาคแรกที่ออกฉายปี 2014 เสียงวิจารณ์มีทั้งดีและไม่ดี แต่ที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันคือ “แม้จะมีข้อจำกัดต่างๆนานา Maleficent ก็ยังดูสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งนี้ด้วยตัวละครหลักตัวเดียว”

แองเจลินา โจลี ในบท มาเลฟิเซนต์ ลบภาพตัวเธอเองจากบทลาร่า ครอฟท์ ในหนัง Tomb Raider ไปอย่างสิ้นเชิง และคนดูก็ติดตาและประทับใจกับลุคใหม่นี้ จนหนังกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 750 ล้านเหรียญ ขึ้นแท่นหนังทำเงินสูงสุดในชีวิตการแสดงของเธอ

แม้ตอนท้ายของภาคแรก ออโรร่าจะพื้นจากการนิทรา ด้วยจุมพิตที่เป็นรักแท้จาก “แม่ทูนหัว” ของเธอ (มาเลฟิเซนต์) ไม่ใช่จุมพิตจากเจ้าชายฟิลิป พระเอกของเรื่อง

Advertisement

แต่ภาคนี้ มาเลฟิเซนต์ยังเป็นตัวละครที่ถูกกระทำย่ำยี ถูกเล่าขานอย่างเกลียดชังจากมนุษย์ จนเป็นที่มาของคำคมที่มาเลฟิเซนต์พูดว่า “ทุกคนมักเป็นผู้ร้ายในเรื่องเล่าของคนอื่นเสมอ”

หนังไปไกลกว่าเทพนิยาย Sleeping Beauty ที่รู้จักกันดี ลินดา วูลเวอร์ตัน ผุ้เขียนบทภาคเดิมกลับมาสร้างสรรค์เรื่องราวขึ้นใหม่ จากหนังความรักแท้ที่บริสุทธิ์ เป็นหนังเนื้อหาเข้มข้น พูดถึงความอาฆาตแค้น และความเกลียดชังของตัวละครใหม่ ราชินีอิงกริธ (มิเชล ไฟเฟอร์) ที่นำไปสู่สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์

Advertisement

เรื่องราวเกิดขึ้นหลังภาคแรกห้าปี ออโรราเป็นราชินีแห่งอาณาจักรภูติมัวร์ส เจ้าชายฟิลิปขอออโรราแต่งงาน อันจะเป็นการแต่งงานที่รวมอาณาจักรภูติและมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

แม้มาเลฟิเซนต์จะไม่เห็นด้วยเพราะไม่เชื่อในความรักแท้ระหว่างหญิงชาย แต่นางก็ยอมเดินทางไปร่วมโต๊ะเสวยกับพระราชาจอห์นและราชินีอิงกริธ พระราชบิดาและพระราชมารดาของเจ้าชายฟิลิป

เมเลฟิเซนต์ถูกยั่วยุจากราชินีอิงกริธ จนแสดงโทสะออกมา พระราชาจอห์นเข้าสู่ภาวะนิทรา เมเลฟิเซนต์ถูกใส่ความว่าเป็นผู้ลงมือ จากงานวิวาห์กลายเป็นชนวนสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ แต่แผนร้ายราชินีอิงกริธมีมากกว่านั้น นั่นคือการกำจัดภูติและเหล่าแฟรี่ทุกตัว เพื่อขึ้นครอบครองอาณาจักรมัวร์ส

แองเจลินา โจลี ยังคงสะกดสายตาคนดูได้ด้วยการแสดงที่เฉียบ สวยสง่า น่าเกรงขาม ท่าสยายปีก และการปรากฏตัวเพื่อช่วยเผ่าพันธุ์ดาร์กเฟย์ (เผ่าพันธุ์พี่น้องของนาง) ที่ถูกอาวุธระเบิดผงตะไบเหล็กผสมเกสรมาลีสุสาน (ที่ราชินีอิงกริธให้คิดค้นขึ้น) จนสลายกลายเป็นผง สมศักดิ์ศรีคำนางพญาปีศาจทั้ง ยิ่งใหญ่ ทรงอิทธิพล ข่มขวัญศัตรูได้อย่างทรงพลัง

มิเชล ไฟเฟอร์ ราชินีตัวร้ายก็เป็นคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรี สีหน้าสีตาและคอสตูมทุกฉากที่โผล่มา สมความเป็นราชินีที่น่าครั่นคร้าม ร้ายกาจ เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นรุนแรง ทั้งยังมีสมุนเป็นทหารหญิงหน้าตายที่แสดงได้สมบทบาท แสบสันจนน่าตบ

แอล แฟนนิง เอาตัวรอดด้วยรอยยิ้มหวานสดใส คนดูให้ผ่าน และไม่อยากตำหนิกับบทเจ้าหญิงแสนซื่อหลงรักหนุ่ม จนลืมความรักที่แม่ทูนหัวต่างเผ่าพันธุ์ทุ่มเทให้กับเธออย่างหมดใจ แต่นอกจากสวยแล้ว เธอไม่มีการแสดงอะไรที่น่าประทับใจ

พอๆ กับเจ้าชายฟิลิป ที่ภาคนี้เปลี่ยนตัวแสดงจากคนเดิมเป็น แฮร์ริส ดิคคินสัน ที่ไม่น่าสนใจเลย จนหลายคนบอกว่า เดียวัล (แซม ไรลีย์) กาดำที่กลายร่างเป็นสมุนมาเลฟิเซนต์ ยังมีความน่าสนใจมากกว่า แต่ข่าวว่าดิคคิดสันกำลังจะแสดงหนัง Kingsman ภาคต่อไป ก็คงต้องติดตามดูฝีมือกันอีกสักที

แต่สิ่งหนึ่งที่ขอตั้งข้อสังเกตคือ หนังได้เรท PG คือจัดอยู่ในหมวดหมู่ทั่วไป แต่เนื้อหามีความรุนแรงแฝงอยู่

ฉากราชินีอิงกริธ ล่อหลอกเหล่าแฟรี่และภูติให้เข้ามาในโบสถ์ เพื่อรมควันฆ่าหมู่ ทำให้หวนนึกถึงการฆ่าหมู่ชาวยิวของฮิตเลอร์ การจับภูติตัวน้อยน่ารักมาทดลองจนกลายสภาพ หรือความตายของเหล่าดาร์กเฟย์ที่ถูกระเบิดเกสรมาลีสุสานจนสลายหายไป เหล่านี้ล้วนเป็นภาพรุนแรงที่ไม่เคยปรากฏในหนังของดิสนีย์

ตอนจบของเรื่องก็หาทางลงง่ายเกินไป จนทำให้คิดว่า Maleficent ภาคนี้ แม้เนื้อหาเข้มข้น โปรดักชั่นยิ่งใหญ่ แต่ความประทับใจยังสู้ภาคแรกไม่ได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image