ID 4 ภาคสอง “ลิเกไปหน่อยมั้ย?”

ID 4 ภาคสอง "ลิเกไปหน่อยมั้ย?"

ID 4 ภาคสอง “ลิเกไปหน่อยมั้ย?”

หนัง Independence Day ภาคแรก (ปี 1996) เป็นหนังรางวัลออสการ์สาขาเทคนิคพิเศษ ที่ติดตาติดใจผู้ชมยุคนั้นเป็นอย่างมาก จากทุนสร้าง 75 ล้านเหรียญ ทำรายได้ทั่วโลกกว่าแปดร้อยล้านเหรียญสหรัฐ ครองแชมป์บ๊อกซ์ออฟฟิศยาวนานถึงสามเดือน และยังเป็นหนังที่ดึงคนดูออกมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ได้มากที่สุด แม้จะเป็นช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพ

ID 4 กำกับโดยผู้กำกับชาวเยอรมัน โรแลนด์ เอมเมอริค ผู้ชื่นชอบการสร้างหนังหายนะ ถล่มโลก จนได้รับสมญาว่า “ผู้กำกับจอมถล่มแลนมาร์ค” เพราะหนังทุกเรื่องที่เขาสร้างจะต้องมีภาพการถล่มทลายของสถานที่สำคัญต่างๆ ใน ID4 ภาคแรก เราเห็นเอเลียนยิงลำแสงถล่มทำเนียบขาว และตึกเอ็มไพร์สเตท

ในหนัง Godzilla (1998) เห็นฉากกอดซิลล่าวิ่งไล่ตัวละครสำคัญบนสะพานบรู๊คลินและสนามกีฬาเมดิสัน สแควร์ การ์แดน จนพังทลาย หนัง The Day After Tomorrow (2004) คลื่นสึนามิยักษ์ถล่มเมืองนิวยอร์คซิตี้ เทพีเสรีภาพปรักหักพังจมอยู่กับหิมะ หนัง 2012 (2009) ถล่มแลนด์มาร์คทั่วโลก ตั้งแต่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม ระเบิดภูเขาไฟถล่มอุทยานเยลโลสโตน และแผ่นดินแยกที่ลอสแอนเจลิส

การกลับคืนมากำกับ Independence Day 2 ของโรแลนด์ ครั้งนี้ เป็นการกำกับหนังภาคต่อครั้งแรกของเขา ซึ่งเขาบอกว่า

Advertisement

“โลกของหนังเรื่องนี้ เป็นสิ่งพิเศษมากสำหรับผม ผมจึงอยากให้เกียรติตัวหนังและให้เกียรติตัวละคร…..เวลาผ่านไปนานพอจนทำให้ผมรู้สึกว่า ทุกอย่างกลับมาสดใหม่อีกครั้ง”

แน่นอนว่า ID 4 ภาคนี้ มีการใช้ CGI และวิชวลเอฟเฟ็ก ที่จัดเต็มความวินาศสันตะโรและความรุนแรงมากกว่า ID 4 เมื่อยี่สิบปีที่แล้วอย่างเทียบกันไม่ติด ถือเป็นจุดดีและจุดเด่นของหนังภาคนี้

การบุกโลกเพื่อทำลายล้างมนุษย์ของเอเลี่ยนครั้งนี้ ยิ่งใหญ่ อลังการ และสร้างหายนะทั่วโลก ขณะที่มนุษย์นำเทคโนโลยีของยานต่างดาวมาดัดแปลงผสานกับยานและยุทโธปกรณ์ที่ตนมี มนุษย์ต่างดาวก็เรียนรู้และพัฒนาตัวเองเหนือขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ยานเอเลียนครั้งนี้มีขนาดใหญ่มหึมา มีแรงดึงดูดที่สามารถดูดตึกรามบ้านช่องขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วทิ้งกลับลงมาถล่มโลก ทำลายแลนด์มาร์คอย่างหอนาฬิกาบิ๊กเบน หอไอเฟล เทพีเสรีภาพ ทั้งยังจุดเพลิงและปล่อยควันแผ่คลุมไปทั่วท้องฟ้า ทำให้สิงคโปร์ทั้งเมืองตกอยู่ในความมืด ก่อนถูกยกลอยขึ้นจากพื้น สู่กระแสความปั่นปวนของอากาศ และทิ้งตกลงมา

Advertisement

เนื้อเรื่องยังคงเป็นเรื่องของเอเลี่ยนบุกโจมตีโลกมนุษย์ แต่ขยายออกไปถึงการปฏิบัติการในอวกาศ การสร้างฐานทัพนอกโลก ที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีกลิ่นไอแบบหนัง Star Trek ดาราในภาคแรกมาเกือบครบ ประธานาธิบดีวิทเมอร์ (บิล พูลแมน) ผู้กล่าวสุนทรพจน์จับใจ จนปลุกคนทั่วโลกให้ลุกขึ้นต่อสู้เอเลียน กลายเป็นชายชราที่อยู่อย่างหวาดระแวงว่าเอเลียนต้องกลับมาอีกแน่ๆ

เดวิด เลวินสัน (เจฟฟ์ โกลด์บลูม) ฮีโร่จากสงครามปี 1996 ที่สามารถถอดรหัสมนุษย์ต่างดาวจนสามารถทำลายล้างพวกมันได้ กลายมาเป็นผู้อำนวยการ Earth Space Defense ( ESD) ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นด่านในการปกป้องโลก

ดร.โอคุณ (เบรนท์ สไนเปอร์) นักวิทยาศาสตร์จากแอเรีย 51 ก็ฟื้นจากโคม่ามาช่วยกันแก้ปัญหาเอเลียนบุกโลกครั้งนี้ แต่ฮีโรสำคัญที่เป็นสีสันของภาคที่แล้วอย่างผู้พันสตีเวน ฮิลเลอร์ (วิลล์ สมิธ) ไม่ได้ร่วมแสดง นัยว่าเรียกค่าตัวแพงจนรับไม่ได้ จึงสร้างบทให้ฮิลเลอร์ตาย จากการทดสอบการบินด้วยยานอวกาศ ที่พัฒนาจากยานต่างดาวรุ่นแรกๆ

ผู้มาแทนคือ ดีแลน ฮิลเลอร์ (เจสซี อัชเชอร์) ลูกเลี้ยงที่เป็นเสืออากาศฝีมือดี นอกจากนั้นก็มี แพทริเซีย (ไมกา มอนโร) ลูกสาวประธานาธิบดีวิทเมอร์ ซึ่งเป็นนักบินและเป็นคู่หมั้นของ เจค มอร์ริสัน (เลียม เฮมส์เวิร์ธ) นักบินกำพร้าจากสงคราม 1996

ตัวละครในหนังภาคนี้ มีมากจนเกินไป จับนักแสดงเก่าที่ไม่ตายในภาคแรกมาใส่ทั้งหมด ยัดเยียดบทให้อย่างไม่จำเป็น ผสมด้วยนักแสดงรุ่นหนุ่มสาวที่หากภาคนี้ประสบความสำเร็จ อาจเป็นตัวเดินเรื่องของภาคต่อไป หนังเรื่องนี้เป็นหนังร่วมทุนระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เลยทำให้มีนักแสดงจีนสาวสวยอย่าง แองเจล่า เบบี้ มาแสดงเป็น เรน นักบินหญิงของ ESD ด้วย

แม้จะมีการเสริมทัพด้วยนักแสดงใหม่มากหน้าหลายตา แต่นักแสดงเหล่านี้ไม่มีพลังพอที่จะทำให้คนดูเกิดความประทับใจและผูกพันกับตัวละคร บทของหนังอ่อน ผู้กำกับจับประเด็นเด่นของภาคแรกมาใส่ในภาคนี้ทั้งหมด

เช่น ยังมีการกล่าวสุนทรพจน์จากประธานาธิบดีหญิง แต่ความคมและจังหวะของการกล่าว ไม่มีพลังและเสริมสร้างความฮึกเหิมเหมือนที่ประธานาธิบดีวิทเมอร์กล่าวในภาคที่แล้ว มีบทการพลีชีพเพื่อช่วยชาวโลกของบุคคลสำคัญ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถสร้างอารมณ์สะเทือนใจให้กับผู้ดู ได้เท่ากับบทพลีชีพของตาแก่ขี้เมาในภาคที่แล้ว ที่แม้รู้ว่าตัวจะตาย ก็ยังเข็มแข็งและหัวเราะเยาะโชคชะตาที่นำเขามาสู่จุดนี้

Independence Day 2 เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ สนุกพอประมาณ มีความเป็นหนัง Sci-Fi มากกว่าภาคแรกที่เน้นความหายนะของโลก แต่ไม่น่าจดจำหรือรู้สึกอินไปกับเนื้อเรื่อง สิ่งที่เหนือกว่าภาคแรกคือเทคนิคการสร้างภาพ เห็นความวิบัติของบ้านเมืองจากยานเอเลียนที่ถล่มทำลายโลก แลนมาร์คต่างๆ พังทลายตามสไตล์ผู้กำกับโรแลนด์ เอมเมอริค

ตอนจบมีคำพูดที่ฟังแล้วตลก ที่บอกว่าสปีชีส์มนุษย์น่ายกย่อง น่าจะมีการถ่ายทอดวิทยาการ และนำพลบุกออกไปนอกโลก

ฟังแล้วลิเกไปหน่อยมั้ย?

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image