Jason Bourne : เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย

Jason Bourne : เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย

Jason Bourne : เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย

หนังสายลับความจำเสื่อม ตระกูลบอร์น ( Bourne) จากซีรีส์นิยายของ โรเบิร์ต ลัดลัม มีอยู่สี่ภาค แต่ที่แม็ตต์ เดม่อนแสดงเป็นเจสัน บอร์น มีสามภาค ภาคแรก The Bourne Identity (2002) กำกับโดย ดัก ไลแมน ภาคที่สองและสาม The Bourne Supermacy (2004) และ The Bourne Ultimatum (2007) มีพอล กรีนกาสส์ เป็นผู้กำกับ แต่ภาคสี่ แม้จะมีชื่อบอร์นเหมือนกัน คือ The Bourne Legacy (2012) แต่ไม่เกี่ยวกับเจสัน บอร์น ที่แม็ตต์ เดม่อนแสดง เป็นเรื่องสายลับคนใหม่ แอรอน ครอส ที่แสดงโดย เจเรมี เรนเนอร์

หนังเจสัน บอร์นทั้งสามภาค เป็นหนังที่คนดูยอมรับว่าสนุกและมีคุณภาพมาก การสร้างหนังภาคต่อให้มีมาตรฐานดีพอๆ กับภาคแรก ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่หนังชุดบอร์นที่แมตต์แสดง เป็นหนังที่ได้รับคำชื่นชมสูง ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะรายได้ ทั้งสี่ภาค (รวม Lecacy) ด้วย ไม่ต่ำกว่า 1.2 พันล้านเหรียญ จัดเป็นหนังสายลับที่อยู่ในดวงใจคนหลายคน เพราะความเรียลและความจริงจังที่เหมือนจับต้องได้

บอร์นเป็นสายลับที่ดุดันขึงขัน อาวุธของเขาไม่ใช่อุปกรณ์ไฮเทคแบบเจมส์ บอนด์ แต่คือสมองที่เฉลียวฉลาด ไหวพริบที่เฉียบคมและสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด ที่ทำให้บอร์นเป็นตัวอันตรายที่ต้องถูกกำจัด สิ่งที่อยู่รอบข้างกายบอร์นสามารถนำมาใช้ในการต่อสู้ได้ทั้งหมด ตั้งแต่ปากกา หนังสือปกหนา หรือสายไฟ ความสามารถของเขาเกิดจากการฝึกฝนอย่างหนัก ที่แม้ความจำเสื่อม แต่ทักษะไม่เสื่อมตาม

บอร์นก้ำกึ่งระหว่างสายลับกับมือสังหาร เขาถูกฝึกให้ฆ่าคนตามคำสั่ง CIA โดยไม่ต้องสนใจว่าทำไมต้องฆ่า หรือคนที่เขาฆ่าเป็นใคร เช่นในภาคแรกหรือภาคนี้ที่บอร์นนึกความหลัง เห็นภาพที่เขาถูกสั่งให้ยิงคนที่ถูกมัดมือ และคลุมหน้า โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร หรือมีความผิดอะไร เป็นการฝึกให้ชาชินกับการฆ่าโดยไม่รู้สึกอะไรเลย

Advertisement

The Borne Ultimatum เหมือนจะเป็นภาคจบสมบูรณ์ของหนังเฟรนไซส์บอร์น เพราะเขาจำความได้และสามารถเปิดโปงความชั่วร้ายของ CIA สำเร็จ แต่หนังจบคนไม่ยอมให้จบ มีเสียงเรียกร้องให้แมตต์ เดมอน กลับมารับบท เจสัน บอร์ด ซึ่งแม้จะมี The Bourne Legacy ออกมา แต่เหมือนไม่สะใจคนดู

แมตต์ บอกว่า เขาจะกลับมาเป็นเจสัน บอร์น ถ้าผู้กำกับหนังคือ พอล กรีนกลาสส์ ผ่านมาถึงเก้าปี แมตต์ กรีนกาสส์ และ คริสโต เฟอร์เราส์ มือตัดต่อที่ร่วมงานกันมายาวนาน ร่วมกันเขียนบทหนัง Jason Bourne ขึ้นมาเอง เดมอนพูดถึงหนังเรื่องนี้ว่า

“คนมักเข้ามาถามเราตลอดว่า จะมีหนังภาคใหม่หรือเปล่า ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เราทำหนังเรื่องนี้อีก เพราะมีคนอยากดูมัน เราต่างก็เคยทำหนังที่คนไม่อยากดูมาก่อน ดังนั้นความรู้สึกนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามไปง่ายๆ”

Advertisement

บอร์น ภาคนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ที่เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของรัฐ ออกมาเปิดโปงเรื่องอื้อฉาว ที่รัฐบาลแอบดักฟังและแฮคข้อมูลเจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำสถานทูตหลายแห่ง เนื้อหาของเรื่องจึงเกี่ยวกับ สงครามไซเบอร์ เสรีภาพพลเมือง ความตื่นตัวเกี่ยวกับการรั่วไหลของข่าวสารข้อมูล และชีวิตของบอร์นที่แม้จะจำความได้ แต่ “จำได้ทุกอย่าง ไม่ได้แปลว่าคุณรู้ทุกอย่าง” เขายังต้องค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่เกี่ยวกับอดีตของเขา โดยเฉพาะประเด็นที่พ่อเขาถูกลอบสังหาร

หนังยังคงมันและสนุกตามสไตล์บอร์นซึ่งกำกับโดยกรีนกราสส์ เดินเรื่องเร็ว ตัดต่อฉับไว โลเคชั่นคือประเทศโซนยุโรปหลายแห่ง และไม่มีมุขตลกแบบหนังสายลับอื่นๆ ฉากขับรถไล่ล่ายังคงเป็นฉากโคตรระทึก และตื่นเต้นที่สุดของเรื่อง รถคันอื่นๆ พังวินาศสันตะโร แต่รถของบอร์นและรถผู้ร้ายอึดมาก ถึงยับเยินแต่ยังคงแล่นได้ด้วยสปีดที่รวดเร็ว (หนึ่งในรถที่ไล่ล่ามักต้องเป็นรถที่ขโมยจากตำรวจ) เทคนิคการถ่ายทำคงใช้กล้องแฮนด์เฮลด์ ที่ดูแล้วทั้งมัน ทั้งเวียนหัว การต่อสู้แบบประชิดตัวที่ใช้ทักษะการต่อสู้ที่จริงจัง และใช้อุปกรณ์ใกล้มือทุกชนิดเป็นอาวุธยังคงมีอยู่ ดนตรีประกอบฉากต่อสู้และการไล่ล่าทุกฉาก เร้าใจเช่นเคย

เนื้อหาหนังคล้ายเหมือนภาคสาม The Bourne Ultimatum มาก บอร์นยังคงถูกหมายหัวและเป็นเป้าหมายที่หน่วยเหนือสั่งจับตาย Ultimatum เปิดเรื่องด้วย รอส นักข่าวพยายามคุ้ยแคะโครงการที่จะเปิดโปง CIA เมื่อเขามาพบบอร์น ทั้งสองคนถูกสั่งเก็บ เรื่องนี้ก็เช่นกัน นิคกี้ (จูเลีย สไตลล์) แอบแฮคข้อมูลหน่วยงานความมั่นคงมาให้บอน์น และถูกมือสังหารตามเก็บ (ก็เหมือนภาค Ultimatum มือปืนใช้วิธีเดิมคือซุ่มยิงบนที่สูง และใช้ปืนไรเฟิล)

คู่กรณีบอร์นยังคงเป็นหัวหน้าหน่วยความมั่นคง ที่ในทีมจะมีฝ่ายหญิงที่สงสัยในความไม่ชอบมาพากลของหน่วย จึงแอบดูแฟ้มเกี่ยวกับบอร์น จนท้ายสุดก็มาเข้าข้างบอร์น ภาคก่อน ฝ่ายหญิงคือ แพม แสดงโดย โจน อัลเลน ในภาคนี้คือ อลิเซีย วิกันเดอร์ (ดาราออสการ์สมทบหญิงยอดเยี่ยมคนล่าสุด จาก The Danish Girl) แสดงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมไซเบอร์ เนื้อหาไม่หลุดจากธีมเดิม แค่เปลี่ยนดารา และเพิ่มลูกเล่นอื่นๆ เข้าไป

หนังบอร์นที่ผ่านมาทั้งสามภาค ผูกเรื่องโยงเข้าด้วยกัน ผู้กำกับช่วยคนที่ไม่เคยดูภาคก่อนๆ ด้วยการให้บอร์นย้อนคิดถึงอดีต เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่อดรู้สึกไม่ได้ว่า ถ้าใครไม่เคยดูมาก่อน ความเข้าใจเนื้อหาในเรื่องน่าจะไม่ชัดเจน แต่ก็คงดูสนุก เพราะฉากแอคชั่นและคิวบู๊ของหนัง ยังคงเป็นจุดเด่นของเรื่อง บอน์นเป็นสายลับที่ขึงขังและมีทักษะการต่อสู้เฉพาะตัวที่อันตรายกว่าสายลับคนใดๆ ซึ่งนี่เป็นเสน่ห์ของหนังสายลับเรื่องนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image