“แฟนเดย์” ไม่ใช่รอม-คอม แต่เป็นหนังดราม่าน่าประทับใจ

"แฟนเดย์" ไม่ใช่รอม-คอม แต่เป็นหนังดราม่าน่าประทับใจ

“แฟนเดย์” ไม่ใช่รอม-คอม แต่เป็นหนังดราม่าน่าประทับใจ

รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าชม ที่พูดเช่นนี้เพราะขณะที่ยืนซื้อบัตร เห็นกลุ่มผู้หญิงที่อายุน่าจะหกสิบอัพมายืนซื้อตั๋วใกล้ๆ ทั้งชื่อและหนังตัวอย่างก็บอกชัดว่า เป็นหนังรักของหนุ่มสาวยุคใหม่ น่าแปลกที่หนังแนวนี้สามารถดึงดูดคนรุ่นนี้ให้มาดูหนังได้

นานๆ เราจะดูหนังไทยสักเรื่อง ดูหนังตัวอย่างก็แทบจะรู้แล้วว่าเรื่องเป็นไง เป็นเรื่องของหนุ่มที่ทั้งไม่หล่อทั้งเชย เป็น Nobody ที่แอบหลงรักสาวสวย เหมือนหมาเฝ้ามองเครื่องบิน เมื่อบริษัทที่ทั้งเธอและเขาทำงานอยู่พาไปเที่ยวญี่ปุ่น สาวเจ้าเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ความจำเสื่อมชั่วขณะ (แค่วันเดียว) หนุ่มเลยสวมรอยหลอกสาวว่า เธอและเขาเป็นแฟนกัน สำหรับเขา ได้อยู่ใกล้และมีความสุข

“หนึ่งวันสำหรับผมก็เพียงพอแล้ว”

อยากเข้าไปลุ้นว่าเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร พอเข้าไปดู ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้น่าสนใจกว่าที่คิดไว้ ตอนท้ายเรื่องซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ ไม่ใช่แค่ผู้หญิงนะที่เกิดอาการนี้ ผู้ชายบางคนก็เป็นเหมือนกัน (แอบเห็น) แถมกลับมาต้องรีบหาเพลง “ฝันลำเอียง” ของพี่แจ้ฟังเป็นการใหญ่ เพราะเป็นหนึ่งในเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ ที่มาถูกที่ถูกเวลา ฟังแล้วเพราะจับใจ

Advertisement

คิดว่ามีหลายคนนะ ที่เป็นแบบเด่นชัย (เต๋อ ฉันทวิชช์) แอบรักสาว คอยเฝ้ามอง สังเกตว่าเธอชอบกินอะไร ฟังเพลงแบบไหน และสะสมของอะไร มีความสุขที่จะทำอะไรๆ ให้โดยสาวไม่รู้ตัว พฤติกรรมแบบนี้มันมีจริงในโลกของคนที่แอบรักเขาข้างเดียว ผู้กำกับเก่งมากที่สะท้อนความรู้สึกของคนที่แอบรักได้อย่างถึงแก่น คนดูสามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าและความรู้สึกหมดหวังของเด่น

“คนห่วยๆ อย่างผม กับผู้หญิงอย่างคุณ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”

หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังรักโรแมนติก คอมเมดี้ แต่เป็นหนังที่ออกแนวดราม่า ในความสุขที่เด่นชัยได้ใกล้ชิดกับนุ้ย (มิว นิษฐา) มีความเศร้าลึกๆ แฝงอยู่ เพราะเด่นชัยรู้ตลอดเวลาว่าพอเช้าวันรุ่งขึ้น นุ้ยก็จะจำวันที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันไม่ได้ ความรักของเด่นชัยและนุ้ย เหมือนเทศกาล Snow Festival ที่เอาหิมะมาสร้างเป็นปราสาท ไม่สามารถจะอยู่คงทน ถ้าไม่ละลายด้วยแสงแดด ก็ต้องถูกทำลายเพราะหมดเทศกาล

Advertisement

ดูแล้วเชื่อจริงๆ ว่า เต๋อคือเด่นชัยหนุ่มไอทีซื่อบื้อ ที่พูดจาไม่เข้าหูคน ไม่รู้จักกาลเทศะ ส่วนนุ้ย (มิว) ก็เป็นสาวที่ไม่ใช่สวยหยาดเยิ้ม แต่มีชีวิตชีวามาก ไม่ใช่แค่บทร่าเริงแจ่มใสเท่านั้นที่แสดงได้ดี บทเขินอาย จ้องตากับเด่นหนึ่งนาที แต่ได้แค่สามสิบวินาทีก็เลิก เพราะสู้สายตาที่แสดงความรักมากมายของเด่นไม่ได้ ก็ทำให้คนดูรู้สึกว่านุ้ยกำลังอายจริงๆ ในบทเจ็บปวดทั้งยามที่เห็นคนรัก (ตุ้ย ธีรภัทร) กับภริยาอยู่ด้วยกัน หรือรู้ว่าเรื่องระหว่างเด่นและนุ้ยเป็นเรื่องกุขึ้น ก็สามารถทำให้คนดูน้ำตาซึม สมกับที่ผู้กำกับบอกว่า

“เล่นดีมาก เป็น Magic อย่างหนึ่งของหนัง”

บรรยากาศของหนังเข้ากับเนื้อเรื่องมาก ฮอกไกโดมีช่วงสวยงามหลายฤดู เช่น ช่วงดอกลาเวนเดอร์บาน แต่ผู้กำกับเลือกที่จะถ่ายทำในฤดูหนาว ความหนาวและความเยือกเย็นของบรรยากาศเข้ากับอารมณ์หม่นหมองในใจตัวละคร ฉากที่ทั้งสองคนไปเที่ยว Snow Festival อากาศหนาวเหน็บ หิมะโปรยปราย รอยยิ้มของนุ้ยสดใส ฉับพลันเพลงฝันลำเอียงขึ้นมา “อยากข่มตานอนทั้งคืนแล้วฝัน….ถึงกัน ไม่อยากตื่นพบใคร อยากนอนอยู่ร่ำไปอย่างนี้ทุกคืน…” สะท้อนความรู้สึกของเด่นชัยได้ชัดเจน นี่คือความสุขหลอกๆ ที่เขาจะมีได้แค่ชั่วขณะ ผู้กำกับเลือกเพลงนี้ อาจเพราะนอกจากความหมายแล้ว เสียงดนตรีนำคือเสียงแซกโซโพน ยังฟังแล้วทั้งหวานทั้งบาดหัวใจ

บทสนทนาคงจะกินใจหนุ่มสาวที่แอบหลงรักใครข้างเดียว เด่นเป็นคนเชยๆ จะจีบสาวก็ยกเอาคำพูดใน google มาพูด นุ้ยบอกเด่นให้พูดตรงกับใจ

“เวลารักมากๆ ไม่ต้องการเหตุผล คุณนุ้ยคือยอดเขาเอเวอร์เรสต์ คืออีกฝั่งของตึกเวิลด์เทรด ที่ผมอยากข้ามไป”

เป็นคำพูดที่ทั้งรัก ทั้งยกย่อง เห็นอีกฝ่ายหนึ่งสูงส่ง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง นุ้ยเป็นเพียงผู้หญิงที่ลักลอบเป็นชู้กับชายที่มีภริยาแล้ว แต่ “ความรักทำให้คนเรากล้าทำในสิ่งที่งี่เง่า” สิ่งละอันพันละน้อยที่เด่นแสดง ทำให้นุ้ยเปิดใจยอมรับ และเมื่อเด่นสารภาพความจริง

“พรุ่งนี้ชั้นก็จะลืมทั้งหมด คุณจะไม่เข้ามาบอกชั้นเหรอ”

“คุณลืม แต่ผมไม่ลืมนี่ครับ หนึ่งวันสำหรับผมก็เพียงพอแล้ว”

นอกจากความเป็นหนังรักที่ประทับใจแล้ว แฟนเดย์ยังสะท้อนความจริงบางอย่างในสังคม เริ่มจากคนเราดูกันเพียงผิวเผินแค่รูปกายภายนอก ชอบพูดอะไรที่ไม่จริงใจ และหลอกตัวเองให้เชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ แม้มันยากที่จะเป็นจริง เช่น นุ้ยเชื่อลมๆแล้งๆ ว่าท็อปจะหย่ากับภริยามาแต่งงานกับตนเอง หนังจบเป็นประเด็นให้คนดูคิดได้หลายมุมมอง ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยแอบรักใครบางคน ลองไปดูหนังเรื่องนี้ แต่อย่าอินจนอยากไป โอดารุ โนะโบะริเบทซี ฮาโกะดาเตะ และซัปโปโร ภายในหนึ่งวันแบบในหนังนะ เพราะไม่มีทัวร์ไหนจัดได้หรอก

อย่างน้อยๆ ก็ต้องสักใช้เวลาสักห้าวัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image