พอร์ช ศรัณย์ ในวันที่ ‘มาไกล’ สั่งน้ำตาไหลได้แล้ว!

“ได้ตังค์ป่ะครับพี่”

ถึงเวลาจะผ่านมา 8-9 ปี แต่ พอร์ช ศรัณย์ ศิริลักษณ์ จำได้แม่น ว่าเขาถามประโยคนี้กับ ‘พี่เบิ้ม’ ซึ่ง ณ ขณะนั้นเป็นพี่คนสนิท ที่ปัจจุบันรั้งตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัว ที่ชวนให้ไปถ่ายแบบลงนิตยสาร-ก้าวแรกในการเข้าวงการบันเทิงของเขา

แล้วก็เกือบจะไม่ได้ก้าวต่อ เพราะผลจากงานที่ต้องกระโดดทั้งวันตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม ซึ่ง “เหนื่อยมาก ขาปวดไปหมด”

แล้วก็จบลงด้วยการไปหาหมอที่โรงพยาบาล ซึ่งต้องจ่ายค่าโน่นนี่นั่นมากกว่า 5,000 บาท อันเป็นค่าตัวทำให้คิดไปว่า “ไม่เอาแล้ว” นี่พอร์ชเล่าพลางส่ายหน้า

Advertisement

อย่างไรก็ดีเมื่อถูกขอให้มาแคสต์งานโฆษณาอีกครั้ง พระเอกคนดังซึ่งตอนนั้นทำงานเป็นนักดนตรี เล่นตามร้านอาหารในจังหวัดจันทบุรี ที่สารภาพว่าขี้เกียจสุดๆ อีกทั้งยังรู้สึกว่างานในวงการบันเทิงนี้ไม่สนุกก็ใจอ่อนตอบรับ แล้วผลก็ปรากฏว่ามีคนติดต่อให้ถ่ายโฆษณาถึง 9 งาน และจากงานโฆษณานั้นเองที่ทำให้ พชร์อานนท์ เห็นเขา และชวนไปแสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘เการักที่เกาหลี’ หรือ  ‘ซอร์รี ซารังเฮโย’ จากนั้นช่อง 7 ก็ติดต่อมา

“ทีแรกเล่นหนังเสร็จจะไปทำเพลงแล้ว ก็ไม่ได้ทำ ก็ยังไงดี เพลง 2 ปีขี้เกียจรอ เซนต์ช่อง 7 ไปก่อนแล้วกัน”

จากนั้นภายใน 2 อาทิตย์ก็ถูกวางตัวให้เล่นละครเรื่อง ‘มนต์รักแม่น้ำมูล’ ที่มีเวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ เป็นพระเอก

Advertisement

โอกาสที่มาถึงอย่างเร็วนี้พอร์ชว่านอกจากจะรู้สึกงงๆแล้ว ความตื่นเต้นก็มาแบบจัดเต็ม

ส่วนผลที่ได้น่ะหรือ ?

“โดนด่ายับ เล่นไม่อินเลย อะไรวะเนี่ย”

นึกๆแล้วเขายังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ว่า “มันไม่อยากไปกอง เบื่อ แล้วเครียดอ่ะ เล่นไม่ได้”

และแม้ ธงชัย ประสงค์สันติ ผู้กำกับการแสดงจะช่วยสอน แต่ถ่ายไปครึ่งเรื่องแล้ว เขาก็ยังเล่นไม่ดี

พอร์ชสมัยแสดงละคร มนต์รักแม่น้ำมูล ออกอากาศปี 2554

มากระเตื้องก็ตอนเรื่องที่สองคือ  ‘ลูกโขน’ ซึ่งเป็นละครเทิดพระเกียรติที่จัดฉายในวันพ่อ และเขาเองก็ได้รับบทนำ

“ก็พยายามคิด แล้วพออินปุ๊บ จบเลย เล่นได้”

“และเราก็ใช้วิธีคิดแบบนั้นมาใช้ในละครเรื่องอื่น ไปหาหนังสืออ่าน เพราะมันต้องใช้จินตนาการเยอะ อ่านแล้วได้ความคิดในหัว พอดูบทละคร ก็คิด มองภาพในหัว โอเค เดี๋ยวเล่นแบบนี้ จบ”

พอร์ชซึ่งเป็นนักแสดงมาแล้ว 9 ปีบอกว่า จากแรกๆที่ไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นอาชีพที่รัก แม้ว่าจะเหนื่อยหนักเอาการอยู่

“นักแสดงเป็นอาชีพที่เหนื่อยมาก เพราะกองละครนี่คือถ่ายทั้งวัน และไม่มีเวลาฟิกซ์ตายตัว ซึ่งชีวิตส่วนตัวก็หายไป”

“และที่สำคัญคือต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้เยาวชน เพราะเราอยู่ในที่สว่าง คนเห็นเราตลอดเวลา แล้วโซเชียลสมัยนี้คือเร็วอ่ะ คุณทำอะไรผิดนิดนึงก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือแม้กระทั่งไม่ได้ทำอะไรผิด แต่คนเข้าใจว่าผิดก็ใหญ่”

“บางทีการที่เราโดนออกข่าว โดนด่ามาครั้งแรก แต่มาแก้ตัวทีหลัง ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องจริง คนเขาก็จำภาพว่าคุณผิดไปแล้ว บางทีคนไม่มานั่งดูหรอกว่าไม่ใช่เรื่องจริง เขาก็จำภาพไปละ อ๋อ คนนี้เป็นแบบนี้แหละ”

สำหรับตัวเอง พอร์ชบอกว่าเอาเข้าจริง “ผมเป็นคนใช้ชีวิตปกติมาก สบายๆเลย ไปเดินห้าง หรือทำอะไรก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ อย่าคิดอะไรมากอ่ะ แค่อย่าทำสิ่งที่ไม่ดีต่อหน้าคนอื่นก็พอ แต่ในการใช้ชีวิตของเรานี่ ไม่ต้องมานั่งเก๊กตลอด เป็นพระเอกช่อง 7 เว้ย แต่งตัวต้องเท่ๆ มันไม่ใช่ผม”

“ผมแต่งตัวธรรมดาๆมาก แล้วก็เป็นกันเองซะส่วนใหญ่ เวลาไปเจอชาวบ้านต่างจังหวัดก็จะนั่งคุย ผมชอบนังคุยแนวคิดการใช้ชีวิตของลุงๆ สนุกดี ลุงก็จะบอกว่าเป็นดารานี่ปกติเขานั่งคุยอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ดาราก็คนปกติแหละ ไม่ได้เก่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราอยากมีประสบการณ์ชีวิต เราก็ต้องนั่งคุยกับคนมีประสบการณ์”

ทุกวันนี้พอร์ชซึ่งพยายามพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ด้วยรู้สึกว่า “อาชีพนักแสดงไม่มีคำว่าเก่งที่สุด คุณต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ พี่นก สินจัย (เปล่าพานิช) หรือใครที่เก่งมาก เขาก็ยังพัฒนาตัวเองอยู่ ยังไปเรียนแอ็คติ้ง ไปอะไรอยู่” ดังนั้นจึงไม่เคยรู้สึกว่า เขานั้นแสดงละครได้ดีจัง

“แต่บางทีจะมีฉากที่มีเรื่องมุมกล้อง เวลาร้องไห้ ผู้กำกับจะบอกพอร์ช อยากได้ไดอะล็อกตรงนี้จบแล้ว น้ำตาไหลข้างขวา รับกับมุมกล้อง เราก็เดี๋ยวลองดู ก็จะบอกกับตัวเองว่ามันมาแล้ว มันมาแล้ว แล้วเฮ้ย! ไหลพอดีเลย” เล่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะ

แล้วว่า “เราก็มาไกลเหมือนกัน”

ซึ่งแฟนๆคงเห็นด้วยชัวร์

* “เรากับแดนสุขน่าจะเข้ากันได้”

ณ เวลานี้ พอร์ชบอกว่ามีผลงานละครอยู่ 3 เรื่อง หนึ่งในนั้นคือ  ‘แม่สื่อปากร้าย ผู้ชายรสจัด’  ซึ่งกำลังออกอากาศอยู่ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ หลังข่าว ช่อง 7  โดยเรื่องนี้เขารับบทเป็น ‘แดนสุข’ เชฟหนุ่ม อารมณ์ดี ที่ชอบเล่นมุขตลก ซึ่งอย่างหลังนี่ตรงกับตัวเขา จึงรู้สึกมาตั้งแต่ต้นว่า “เรากับแดนสุขน่าจะเข้ากันได้”

“อยู่กับผมไม่เครียดนะครับ ตลกได้ตลอดเวลา คุณจะสามารถยิ้มได้เล็กๆ หัวเราะได้”

ขณะเดียวกันนักแสดงคู่ที่เล่นด้วยคือ ขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์ ก็เคยเล่นละครด้วยกันมาก่อน เลยรับส่งจังหวะกันได้แบบสนุกๆและสบายๆ

นี่จึงเป็นอีกงานที่ทำแล้วแฮปปี้

ขณะที่อีก 2 เรื่องคือ  ‘สวยซ่อนคม’ ที่เขารับบทเป็นฝาแฝด ที่คนหนึ่งมีบุคลิกสุขุม ส่วนอีกคนออกแนววัยรุ่นกว่า และอีกเรื่องคือ  ‘สายโลหิต’ ละครฟอร์มยักษ์ที่รับบทเป็น ‘ขุนไกร’ และถ่ายทำมาได้ราว 2 ปีแล้ว

“บทน่าสนใจมากๆ” นี่พอร์ชหมายถึงในทุกๆเรื่องที่เขากล่าวมา

อดใจไว้รอชม.

 

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image