การคว้ารางวัลซีไรต์จากนวนิยายเรื่อง ‘พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ’ ของวีรพร นิติประภา ทำให้ วีรพร นิติประภา กลายเป็นนักเขียนหญิงเจ้าของดับเบิ้ลซีไรต์คนแรกในประวัติศาสตร์
ด้วยก่อนที่ ‘พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ’ ซึ่งพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชนจะได้รางวัลซีไรต์ที่เพิ่งประกาศไปสดๆร้อนๆในวันนี้ ผลงานนวนิยายเรื่อง ‘ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต’ ที่พิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชนเช่นกัน ก็ได้รับรางวัลซีไรต์ประเภทนวนิยายมาครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2558
ในความรู้สึกของวีรพรนั้น เธอบอกว่าการได้รางวัลซีไรต์ถือเป็นเกียรติในชีวิต ซึ่งตอนที่ได้ครั้งแรกก็ดีใจแล้ว พอมาได้อีกครั้งก็ยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก
เธอยังบอกด้วยว่า นอกจากจะอยากให้นักอ่านได้อ่านนวนิยายเรื่อง ‘พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ’ ที่บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวชาวจีนที่อพยพมาอยู่ในเมืองไทยครอบครัวหนึ่ง ผ่านสายตาและความทรงจำที่แหว่งวิ่นจนเกือบไม่ปะติดปะต่อของผู้เล่าเรื่อง ที่เป็นสมาชิกในครอบครัวรุ่นหลัง สะท้อนทั้งความเศร้า ความสุข ความแค้น ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความเสียสละ ความหวังอันเรืองรองและริบหรี่ รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกอีกมากมายมหาศาลที่ขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินต่อไปแล้ว ก็ยังอยากให้นักอ่านได้อ่านหนังสือเล่มอื่นอีกด้วย โดยเฉพาะเล่มที่เข้ารอบซีไรต์มาด้วยกัน
“อยากให้คนอ่าน อ่านหนังสือหลายๆเล่ม อย่างบางครั้งเวลาหนังสือที่ได้รางวัลซีไรต์ถูกพูดถึงก็จะถูกพูดถึงแค่เล่มที่ได้ มุ่งประชาสัมพันธ์แค่เล่มเดียว ทั้งที่อย่างน้อยหนังสือที่เข้ารอบทั้ง 8 เล่มก่อนหน้านี้ ซึ่งเข้าใจว่าไม่สามารถมอบรางวัลให้ได้ทุกเล่มที่เข้ารอบ แต่ทุกเล่มล้วนควรค่าน่าอ่าน”
ส่วนที่คณะกรรมการชื่นชมว่าหนังสือเล่มนี้มีความงามทางวรรณศิลป์นั้น วีรพรบอกว่าอาจเป็นเพราะตนเกิดและเติบโตมาในช่วงที่วงการวรรณกรรมเบ่งบานถึงขีดสุด ซึ่งตนก็ได้อ่านหนังสือของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ,หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ ซึ่งภาษามีความงดงามชวนให้หมกมุ่นอย่างยิ่ง
“หมกหมุ่นกับเรื่องนี้อยู่พอสมควร เวลาเขียนจะพยายามให้มันสวยหยดย้อยหยาดเยิ้ม” เธอเล่า
ทั้งยังบอกด้วยว่ “ภาษามีน้ำหนักของมันนะคะ มีพื้นที่เฉพาะ เป็นพื้นที่ระหว่างผู้อ่านและผู้เขียน จึงตั้งใจทำอย่างดีที่สุด”
ในส่วนของผลงานอื่นๆ วีรพรบอกว่า ตอนนี้กำลังเขียนพร้อมกันทีเดียว 2เรื่อง หนึ่งคือ นิยายสำหรับเด็กโต ตั้งแต่อายุ13 ปีขึ้นไป ที่โครงเรื่องเกี่ยวกับความจริง-ไม่จริง และความเข้าใจของคนรุ่นใหม่ ที่ความไม่จริงกลายเป็นความจริง เนื่องจากคิดว่าเด็กเหล่านี้กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้อยู่ ส่วนอีกเรื่องจะพูดถึงการเติบโตของคนในระบบการศึกษา เพราะเห็นว่าบ้านเรามีปัญหาเรื่องนี้อยู่ แต่ตอนนี้อยู่ในขึ้นตอนของการเริ่มต้น
