“แค่ร้องไห้วันหนึ่ง แล้วก็จะผ่านไป” โลกของฌอห์ณ จินดาโชติ ในวันฟ้าหม่น

การคุยกับ ฌอห์ณ จินดาโชติ  ในเรื่องที่มากกว่าการเป็น ‘พระเอกในจอ’ น่าจะทำให้บทสนทนาชิ้นนี้พอจะบอกอะไรได้ถึงความเป็นตัวเขาได้บ้าง

ฌอห์นที่ปัจจุบันอายุ 30 ปี เริ่มต้นด้วยการย้อนอดีตตอนเข้าวงการมาใหม่ๆ เมื่อ 12 ปีก่อน แล้วบอกกับ ‘มติชนออนไลน์’ แบบยิ้มๆ ว่า “ตอนนั้นทัศนคติคือเด็กมาก”

“คิดว่าทำงานช่วยที่บ้านได้ ได้เงินมาไม่กี่พัน กี่หมื่น เท่มาก แล้วก็มองตัวเองมากกว่ามองคนอื่น ดีใจที่เดินสยามแล้วมีคนจำได้ คิดแค่นั้นเอง”

“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม เข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น ทุกอย่างมีผ่านมา ผ่านไป วันนี้มีคนชื่นชมตัวละครที่เราแสดง พรุ่งนี้พอละครจบ ทุกอย่างก็จบ ในบางวันก็มีคนรักเราน้อยลง”

Advertisement

และ “เอาจริงๆ จากวันนั้นถึงวันนี้ความรักในการทำงานนี่คนละเบอร์เลย”

“ทุกวันนี้คือทำงานที่เราอยากทำ แล้วแม่สบาย รู้สึกว่าเราคงอยู่ในวงการนี้ได้ไม่นานมาก ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น แล้วลักษณะตัวตนของเราที่เริ่มแตกหน่อหลากหลาย เลยอยากทำให้แม่หมดห่วงเรื่องเรา อยากให้หลานเรามีความสบายใจจากน้ำพักน้ำแรงที่เราหามา ความรักในการทำงานเพื่อคนอื่นมันชัดเจนมากขึ้น นึกถึงตัวเองน้อยลงกว่าเมื่อก่อน”

เมื่อถามถึงงานที่อยากทำ ฌอห์ณยิ้มเบาๆ ก่อนบอกไม่รู้จริงๆว่าจะได้รับบทดีๆแบบนี้อีกกี่ปี เพราะขณะที่มีเด็กใหม่เข้ามาไม่ได้หยุด เขาเองก็ “รู้สึกเริมแก่นิดๆ”

Advertisement

ดังนั้นจึงให้โจทย์ตัวเองว่า ในช่วงเวลา 5-6 ปี นับจากนี้ เขาจะเลือกทำงานที่ดี ทำงานให้เต็มที่ เพื่อเป้าหมาย “ให้คนจดจำ”

“อยากไปไหนแล้วคนไม่ต้องชมว่าหล่อ เพราะมันเป็นรูปลักษณ์ภายนอก บางวันสิวขึ้นก็มี อยากให้คนจำได้ว่าเราเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานและการใช้ชีวิต ให้เด็กรุ่นใหม่มีเราเป็นแนวทาง อยากให้คนเห็นพัฒนาการทางการแสดงที่มีฝีมือขึ้น”

ส่วนสมญา ‘สามีแห่งชาติ’ ที่เคยได้รับ ฌอห์ณบอกชัด เขาไม่เคยเอาเรื่องนั้นมาแบกบนบ่า

“เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่ผม”

“คนเขารักตัวละครที่ผมเล่น แต่ว่าเราคือฌอห์ณ จินดาโชติ ที่เป็นลูกของแม่ เป็นน้องของพี่ ไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น”

เขาจำได้ด้วยว่าฉายาดังกล่าว ได้มาตอนเล่นละครเรื่อง ‘เล่ห์รตี’ ที่รับบทเป็นชายซึ่งอุทิศตนเพื่อคนรัก และครอบครัว ที่ทำเอาสาวๆทั้งเมืองหลง

“ผมเล่นบทนั้นตอนอายุ 25 และยังไม่เข้าใจว่าสามีแห่งชาติคืออะไร ตอนนั้นรู้สึกดี แต่มันคืออะไรก็ไม่รู้ แต่มีคนสนับสนุนงานเรา มีป้าย” เล่าแล้วฌอห์ณก็หัวเราะ

แล้วจึงว่า “แต่วันนี้ รู้แล้วว่ามันคือวาระ เหมือนนางงาม ที่เวียนๆกันไป การได้เป็นสามีแห่งชาติ ก็คงเป็นเหมือนกำลังใจของนักแสดง แต่ถามว่ายึดติดไหม ไม่เลย มันมาแล้ว แล้วก็ส่งต่อกันไป”

ฌอห์ณที่มีงานเสนอเข้ามาไม่ได้หยุดออกตัวด้วยว่า อันที่จริงเขาไม่ใช่คนเก่ง แต่เขาเป็นคนไม่หยุดนิ่ง

“แล้วให้ความสำคัญกับการทำการบ้าน ผมไม่กล้าหลับ ถ้ายังไม่อ่านบท แล้วก็โชคดีที่ได้ร่วมงานกับนักแสดง หลายท่านที่คอยสอน ทำให้เราได้พลังงานที่ดี และได้ตัวอย่างที่ดีจากเขามาพัฒนาตัวเอง”

พูดถึงเรื่องพลังงานแล้ว อดถามไม่ได้ เพราะใครที่ๆสัมผัสล้วนบอกเป็นเสียงเดียวว่า เขาเป็นคนมีพลังบวกมากแบบมหัศจรรย์ หากกระนั้น “จริงๆชีวิตผมสีเทานะ ไม่ได้สีฟ้า” เขาว่า

อย่างไรก็ดีที่คนรู้สึกอย่างนั้น อาจเพราะทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เขาจะซ่อนสีเทาไว้ในใจ

“มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องเอาทุกข์ไปฝากคนอื่น”

“หลานเรากำลังโต เขาต้องเรียนรู้สิ่งที่ดี ผมต้องพยายามสร้างสรรค์พลังบวกให้เขา แล้วการที่เรามีทัศนคติที่ดี มันจะเป็นเกราะป้องกันและเป็นแม่เหล็กดึงดูดสิ่งดีๆกับเรา ถ้าเราส่งพลังงานบวกให้คนรอบข้าง เขาก็ได้รับแล้วก็เป็นสิ่งดีๆให้กับคนอื่นต่อไป มันเป็นโซ่ความสุข แต่ถ้าเราสาดสี สาดโคลนใส่คนอื่น เรานั่นแหละที่จะไม่มีความสุข”

“ใครอาจจะมองว่าเราโลกสวย แต่ผมว่าคนเรามี 2 ทางเลือก นั่นคือทำดีและทำไม่ดี จะทำอันไหน เท่านั้น”

ถามไปว่าในวันที่โลกของเขาเป็นสีเทาหนัก เขาจัดการกับชีวิตอย่างไร คำตอบที่ได้คือ “ผมก็จะนั่งอึน”

ซึ่งถ้าเป็นช่วงก่อนหน้า แม่จะใช้วิธีจับเขาไปนั่งตรงระเบียงบ้าน ให้นั่งตรงนั้นจนมีสติ แล้วเมื่อคิดได้ เขาก็จะไปเคาะเรียก แล้วก็ได้คำถามว่า คิดอะไรได้บ้าง เล่าให้ฟังหน่อย

แต่เดี๋ยวนี้ เขาจะรอคอยเวลาที่หลานวัย 3 ขวบ กับ 6 ขวบ ลูกของพี่สาวเลิกเรียน แล้วพุ่งไปหา

“ไปรับพลังงานจากหลาน ไปเป็นม้าหมุนให้เขาสักวัน ฟังเขาร้องเพลง เด็กคือพลังงานบริสุทธิ์ เราอยู่กับเขา ก็รับสิ่งตรงนั้นมา”

จากนั้นวันฟ้าหม่นก็แปรผันเป็นวันที่สดใส

“แค่ร้องไห้วันหนึ่ง แล้วก็จะผ่านไป”

………………….

 

*เราไม่เคยดีได้ด้วยตัวเองล้วนๆ

นอกจากงานในวงการบันเทิง ฌอห์ณ จินดาโชติ บอกว่าเขากำลังเตรียมนิทรรศการภาพถ่ายครั้งใหม่ เป็นอีกโปรเจ็คต์เพื่อสังคมต่อจากที่เคยทำ ‘เล่าเรื่องเก่าที่เราแคร์ ผ่านชุมชนบางแคที่เราเห็น’ หารายได้ให้บ้านพักคนชราบางแค เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา

คราวนี้เขากับเพื่อนก๊วนเดิม รวมแล้ว 6 คนจะทำเรื่องของคนตาบอด

“กำลังเข้าไปคลุกคลีกับพวกเขา และไปเรียนอักษรเบลล์ ซึ่งยากมาก ไปดูว่าแต่ละคน แต่ละช่วงวัย ทั้งเด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่และวัยชรา ว่าความสุข ความเศร้าของแต่ละคนคืออะไร แล้วเอามาทำโจทย์นิทรรศการ”

ยกตัวอย่างด้วยว่า ครั้งหนึ่งระหว่างสนทนากับผู้พิการทางสายตาเหล่านั้น เขาตั้งคำถามเกี่ยวับวลีที่ว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’ แล้วเวลาที่พวกเขามีความรักเป็นอย่างไร?

คำตอบที่ได้คือ “เขาบอก ไม่เข้าใจเลย ทำไมคนถึงบอกว่ามีความรักแล้วจะตาบอด เพราะเขารู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งที่ดี”

และ “บางทีแล้วเรามองว่าการมองไม่เห็นเป็นสิ่งที่โชคร้ายที่สุดในชีวิต แต่การไม่ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นนั่นคือสิ่งที่น่าเสียดายมากกว่า”

ถ้าต้องการหาเหตุผลของการทำงานที่ไม่ได้ผลตอบแทนเป็นตัวเลข พระเอกหนุ่มบอกว่า มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ “ภูมิใจมากๆ”

คำตอบอาจ “ดูเวอร์” -เขาออกตัว

แต่ก็นึกคิดเช่นนี้จริงๆ

“ผมคิดว่าชีวิตนี้ที่ผมดีขึ้นได้ มันมาจากการปลูกฝังที่แม่บอกเราว่า เราไม่เคยดีได้ด้วยตัวเองล้วนๆ แต่มันเพราะตัวเรา ฟ้าประทานพร และสังคมรอบตัว”

“รู้สึกว่าอาชีพที่เราได้ทำ มันคือความโชคดี มีคนรัก ได้มีเงินใช้ และมันคงไม่หนักมากนะถ้าเราจะเจียดเวลาส่วนหนึ่ง แล้วไปใช้ความโชคดีของเราที่มีคนรู้จัก บอกเรื่องราวดีๆให้ผู้คนรับทราบ”

อย่างที่กำลังพยายามทำอยู่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image