อย่างที่เคยนำเสนอไปว่าโครงการสื่อมวลชนศึกษาในยุคการเปลี่ยนผ่านของสื่อ เทคโนโลยี และสังคม ได้จัดเสวนาเพื่อให้ความเห็นต่อผลการศึกษาเรื่อง “เนื้อหาเพศสัมพันธ์โดยนัย ทางดิจิตอลทีวีภาคพื้นดิน” อันเป็นการสำรวจผังรายการทีวีดิจิตอลทุกช่องช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 และไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งพบรายการที่มีเนื้อหาเข้าข่ายเรต “ฉ” ตามเกณฑ์ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ต้องออกอากาศระหว่างเวลา 24.00 – 05.00 น. ของวันถัดไปนั้น 11 รายการ จาก 9 สถานี โดย ช่อง 3HD มากที่สุด 3 รายการ ได้แก่ เทคมีเอ้าท์ ไทยแลนด์, ดันดารา และ วงล้อลุ้นรัก รองมาคือ ช่อง GMM 25 2 รายการ ได้แก่ แฉแต่เช้า และ สมรภูมิพรมแดง ที่เหลือพบช่องละ 1 รายการทาง ช่อง 7HD คือ กิ๊กดู๋ สงครามเพลง…เงินล้าน , ช่องไบร์ท ทีวี คือ แรงชัดจัดเต็ม , ช่องเนชั่น แชแนล คือ เดอะ พีเพิล รู้หน้าไม่รู้ใคร, ช่องเวิร์คพอยท์ คือ ชิงร้อยชิงล้าน ว้าว ว้าว ว้าว , ช่องโมโน 29 คือ เลือกได้ให้เดต และ ช่องวัน คือ สงครามนางงาม เดอะ แคสติ้ง โปรเจ็คต์
นอกจากนี้ยังมีผู้ชมแสดงทัศนคติต่อรายการดังกล่าวผ่านสื่อออนไลน์อย่างพันทิป, เฟซบุ๊ก และยูทูบ ที่สื่อถึงเพศสัมพันธ์และแรงดึงดูดทางเพศจำนวนมาก โดยพบการแสดงความเห็นผ่านยูทูบมากถึง 81 ทัศนคติ รองลงมา คือ เฟซบุ๊ก 47 ทัศนคติ โดยเป็นการแสดงความอยากได้หญิงหรือชายที่ปรากฏในรายการ ความต้องการทางเพศ, การวิพากษ์วิจารณ์หรือล้อเลียนถึงสรีระร่างกายรวมไปถึงบุคลิกภาพอื่นๆ ของผู้ที่ปรากฏในรายการ, การโฆษณาสินค้าทางเพศ รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์โดยใช้คำด่าที่แทนการมีเพศสัมพันธ์
ทั้งนี้พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยา ในคณะกรรมการกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ให้ความเห็นในเรื่่องดังกล่าวว่า เรื่องเพศเป็นจุดขายสำหรับการทำรายการเพราะดึงดูดความสนใจคนส่วนใหญ่ และทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ แต่คนเรากลับทำให้กลายเป็นเรื่องลับเฉพาะ ดังนั้นที่สำคัญจึงควรใช้การจัดเรตรายการให้เป็นประโยชน์ เช่น ก่อน 22.00 น. เนื้อหาควรจำกัดแค่ไหน หลัง 24.00 น. เปิดเผยได้มากเพียงใด ด้วยการให้ทุกช่องร่วมมือกันให้เป็นรูปธรรมมากกว่าปัจจุบัน
“ที่น่าห่วงคือ ถ้ายังไม่แก้ไขปัญหาเรื่องเพศ มันจะทวีไปเรื่อยๆ มันจะสร้างค่านิยมผิดๆ คือตอนนี้มันรุนแรงแล้ว แล้วในอนาคตสื่อในทีวีจะต้องมีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก ขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น คุกคามทางเพศกันมากขึ้นและความไม่ปกติ เราจะมองว่ารูปลักษณ์ดึงดูดเป็นเรื่องที่ใหญ่ เราจะไม่พอใจในตัวเอง เราจะไปศัลยกรรม เพราะรู้สึกว่าอยากสวยแบบในทีวีมากขึ้น เราควรร่วมกันสร้างประเภท “ฉ” และเคารพกติกากันดีกว่า ทำให้รู้กันอย่างเท่าเทียมว่า เราควรใส่อะไรให้คนดูแค่ไหน เราควรทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เรื่องเพศไม่ใช่เรื่องเลวร้าย” พญ.พรรณพิมลกล่าว
ขณะที่ น.ส.จิตติมา ภาณุเตชะ ผู้อำนวยการมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง กล่าวว่าเรื่องเพศเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของทุกคนและของสังคม ซึ่งแต่ก่อนเนื้อหาจะออกในแนวสองแง่สองง่ามนำเสนอกันอยู่ในเฉพาะพื้นที่ แต่ตอนนี้กระจายออกมาอยู่ที่สื่อสารมวลชนจึงควรจัดระเบียบและหาจุดสมดุลในการนำเสนอ อย่างรายการ “ชูรักชูรส” ผู้ชมก็ชมด้วยความเข้าใจ เพราะเป็นรายการที่นำเสนอในแง่ทฤษฎี ใช้ภาษาตรงไปตรงมาแต่ไม่หยาบโลน
ส่วน ดร. ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล กล่าวว่า คนสนใจเรื่องเพศและเสพได้ไม่เคยเบื่อ เพราะเป็นเรื่องจับต้องได้ ตอนนี้เมื่อมีเรื่องเพศมากขึ้นผู้คนจึงหันมาต่อว่าเด็กๆ ที่รับชมและสื่อมวลชน ซึ่งจริงๆ เราควรทำให้เรื่องเพศไม่ได้มีแค่มิติเดียว ไม่ใช่แค่เชิงลามกหรือผิดศีลธรรม แต่ควรบวกรวมในแง่ศิลปวัฒนธรรมแล้วนำเสนอออกมาอย่างเท่าเทียมทั้งเรื่องของหญิงชาย ที่สำคัญควรมีการจัดทำว่าวาทกรรมใดที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด
“อยากให้ทีมงานทีวีผลิตรายการแบบคัดกรอง คือไม่ได้แค่เด็ก แต่บางผู้ใหญ่เห็นมากก็เอียน ถ้าเราเปิดดูรายการปกติทั่วไป แล้วเจออะไรแบบนี้เยอะๆ มันควรย้ายเวลา หรือเปลี่ยนรูปแบบรายการเป็นอีกระดับไปเลย และเราควรทำเรื่องเพศออกมาให้เท่าเทียม เพราะสมัยนี้สังเกตดูมีการกดขี่ทางเพศให้เห็นในทีวีเยอะแยะมากมาย กดขี่ผู้หญิง เอาหุ่นผู้หญิงมาพูดให้อับอายแล้วสนุก กดขี่เพศที่สามหรือสี่ กดขี่ให้ดูตลก หรือหนักเข้าก็ไปสัมผัสร่างกายกันเลย” ดร.ชเนตตีกล่าว
สำหรับนายฉัตรชัย ตะวันธรงค์ กรรมการสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตนรู้ชะตากรรมว่าสื่อทีวีต้องถูกมองเป็นจำเลยสังคม แต่สิ่งที่อยากให้ระวัง คือสื่อออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กที่ไร้การเซ็นเซอร์ เพราะต่อไปสื่อทีวีคงไม่ได้รับการนิยมเหมือนเก่า รวมทั้งตอนนี้เนื้อหาใดที่ใส่ในทีวีไม่ได้ก็จะไปลงในเฟซบุ๊กแทน ส่วนตัวตนเห็นด้วยกับการจัดเรต “ฉ” แต่ควรพูดคุยกันว่าทำได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามเรื่องเพศถือเป็นเรื่องปกติ แต่เรามักทำให้เป็นเรื่องไม่ปกติ ซึ่งปัจจุบันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมยังส่งผลต่อผู้บริโภค ดังนั้นจำเป็นต้องหาวิธีทัดทาน
“แต่บอกเลยว่าคนส่วนใหญ่รับอะไรแบบนี้ ละครน้ำดีคนชอบ แต่ส่วนใหญ่คนก็ชอบละครน้ำเน่า เราแค่ขาดคนดูแลที่ถูกต้อง รายการดีๆ ก็ทำได้ แต่มันไม่มีกระแส มันคือธุรกิจ สื่อทีวี คือสิ่งที่เห็นปฏิกริยาชัดที่สุด เราควรจะป้องกันไม่ให้ความผิดในสื่อเกิดขึ้น หรือแก้ไขในสิ่งที่ผิด หรือทำทั้งสองอย่าง ร่วมกันหาวิธีหาทางแก้ไขอย่างถูกต้อง” นายฉัตรชัยกล่าวในที่สุด