สนทนา ‘วิชาตัวเบา’ไปกับ ‘บอดี้สแลม’

อยู่วงการมา 10 กว่าปี มีผลงานในนาม บอดี้สแลม มาแล้ว 6 อัลบั้ม พอจะทำงานชุดใหม่  ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย กับ ปิ๊ด-ธนดล ช้างเสวก , ชัช-สุชัฒติ จั่นอี๊ด , ยอด-ธนชัย ตันตระกูล , โอม เปล่งขำ  จึงเห็นตรงกันว่า อยากจะหาวิธีใหม่ๆในการทำงาน ด้วยเหตุนี้จากที่เคยหยุดทัวร์คอนเสิร์ต เพื่อทำเพลง เข้าห้องอัดอย่างเดียว ก็ขอทำ 2 อย่างไปพร้อมกัน

“เราอยากเปลี่ยนรูปแบบ” ตูนเล่า

แล้วยกตัวอย่าง ตอนอัลบัม ดัม-มะ-ชา-ติ เขาหยุดงานทุกอย่าง 1 ปี ซึ่งแม้จะได้งานดีสมใจ แต่ระหว่างนั้นก็อดเหงาไม่ได้ เรื่องนี้ปิ๊ดเองเห็นด้วย ส่วนโอมบอก การเปลี่ยนบรรยากาศมาคิดงานและอัดเสียงที่โรงรถของบ้านตูนได้ความผ่อนคลายมากกว่าการไปทำงานในห้องอัดอย่างเคยๆ แถมเวลาเบื่อยังไปเล่นกับน้องหมาของตูนได้อีกต่างหาก

“มันถึงชื่อวิชาตัวเบาไงครับ” ตูนเสริม ยิ้มมุมปากก่อนบอกต่อ “เรารู้สึกมีความสุขมาก” ทั้งยังว่าในความเห็นของเขาอัลบั้มชุดนี้มีพัฒนาการมากขึ้น ซึ่งน่าจะมาตามวัยวุฒิที่ตอนนี้ก็ก้าวขึ้นสู่เลข 4 ไปตามๆกัน
“เราเต็มที่กับทุกอัลบั้ม แต่อัลบั้มนี้เราได้เห็นตัวเองมากขึ้น เห็นวงดนตรีมากขึ้น เห็นชีวิตมากขึ้น ได้เห็นแง่มุมต่างๆที่เราไม่เคยได้เห็นใน 10 กว่าปีที่ผ่านมา รู้สึกว่ามันมีพัฒนาการของการเป็นคน ของความเป็นนักดนตรี นักร้อง มันไม่ใช่แค่เราจดจ่อกับการทำอัลบั้มดีๆ แล้วลืมมองคนที่อยู่ข้างๆ”

Advertisement

“ผมว่าอัลบั้มนี้มีชีวิตอีกแบบที่สดใสร่าเริง”

แต่ในส่วนของเนื้อหาเขาว่าก็ยังจะเป็นบอดี้สแลมในแบบที่ทุกคนคุ้นเคย “มีเพลงหนักบ้าง เบาบ้าง พูดเรื่องชีวิตเข้มข้นบ้าง เรื่องความฝันยังมีอยู่ แต่เบาในแง่ของการทำงาน มิติของความคาดหวังต่างๆ”
เขายังบอกด้วยว่า หลักสำคัญที่เขาและเพื่อนๆยึดโยงไว้เสมอมาในการทำงาน ว่าจะต้องทำด้วยความสนุก มีความสุข และเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

Advertisement

ซึ่ง “ผมเชื่อว่าพอเราสนุก ร้องอะไรที่รู้สึกกับมันจริงๆในแต่ละช่วงของชีวิต เราจะไม่หมดเรื่องที่จะเล่า”

“เราจะไม่เอาอะไรที่ทุกคนฮิตหรือชอบมาจำกัดตัวเองว่าเราเป็นแบบนั้น แบบนี้ จะอ้างอิงจากตัวเอง”

“บอดี้สแลมก็เหมือนไดอารี่ของคนกลุ่มหนึ่ง อัลบั้มแรกเราอายุ 20 ต้น ก็พูดเรื่องคนวัยนั้นพูดกัน เรื่้องผู้หญิง ความรัก ความคิดถึง พอเราโตขึ้น 30 ปลาย ก็มีมุมที่รู้สึกว่าเรื่องความรักอยากพูดให้น้อยลง พูดในแง่มุมที่เรารู้สึกจริงๆ อาจไม่ได้หวานเหมือนตอนอายุ 20 แต่ดีตรงที่มันจริง ตรงที่เราสามารถย้อนกลับไปฟังแล้วก็ได้เห็นตัวเองในช่วงนั้นจริงๆ จนอัลบั้มที่ 6 เราย้อนไปดูตัวเองเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เราตึงขนาดนั้นเลย ออกไปนอกโลกขนาดนั้นเลย แต่ว่าเรามีความสุขที่ได้ทำอะไรที่มันจริง ซื่อสัตย์กับตัวเอง แทนที่จะทำเพลงฮิตอย่างเดียว”

งานชุดนี้ตูนบอกว่า มีทั้งหมด 11 เพลง ความจริงอยากมีมากกว่านี้ด้วยซ้ำ “แต่ค่ายไม่ให้แล้ว” บอกพลางยิ้ม
ในระหว่างทางของการทำอัลบั้มชุดนี้ โอมบอกว่ามีปัญหาต่างๆนานา ไม่ต่างจากตอนทำทุกอัลบั้มที่ผ่านมา
“การทำอัลบั้มใช้เวลาเยอะ และค่อนข้างหนักหนาพอสมควร อย่างน้อยก็ต้องมีล้าบ้าง ไม่กายก็ใจ สุดท้ายเมื่อมาสเตอร์เสร็จ หรือเห็นงานเป็นรูปร่างแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นจะหมดไป ทุกคนจะแฮปปี้มาก เหมือนเข้าเส้นชัย”

ขณะปิ๊ดเองก็ว่า เขาทะเลาะกับชัชหนักมาก หากทุกอย่างก็คลี่คลายและผ่านไปได้ด้วยความที่ “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

ด้านตูนบอกว่าในส่วนของเพลงนั้น ครั้งนี้พวกเขาก็ใช้วิธีการใหม่ในการแต่ง

“มีหลายๆเพลงที่เราสุมหัวกันแล้วนั่งเขียนคนละประโยค จากที่เมื่อก่อนเพลงหนึ่งก็แต่งคนหนึ่ง อัลบั้มนี้บางเพลงผมมาทั้งเพลง แต่ทุกคนมองว่ามันได้ท่อนนี้ หลังจากนั้นทุกคนมารุมกันต่อ มีเพลงที่โยนให้ทุกคนเขียนในคอนเซ็ปต์เดียวกัน วิชาตัวเบา ทุกคนไปเขียนเนื้อ แล้วมาประกวด มาเลือกกัน” ซึ่งถ้าเพลงไหนมาในสไตล์นี้จะขึ้นเครดิตว่า ‘แมงโก้’

ในจำนวนเพลงทั้งหมดตูนบอกว่า มีเพลงชื่อ ‘ผักบุ้งลอยฟ้า’ ที่เขารู้สึกตื่นเต้นมาก อยากให้ทุกคนได้ฟัง “คิดว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงที่คอนเซ็ปต์ดีเพลงหนึ่ง” ตูนบอก

ขณะปิ๊ดสารภาพแบบยิ้มๆด้วยว่านอกจากจะเป็นเพลงที่อัดเบสยากที่สุดแล้ว เขายัง “เครียดกับเพลงนี้มาก เห็นชื่อเพลงแล้วก็อึ้งไป”

การทำงานอยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลท์และสายตาของผู้คน แน่นอนว่าผลงานที่ออกไปย่อมได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งตูนบอกในส่วนนี้พวกเขาพร้อมรับฟัง แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากชี้แจงว่า “เราทำเพื่อระบายสิ่งที่อยากพูด อยากทำมาตลอด คอมเม้นท์จากแฟนๆเราก็รับฟัง แต่ว่าสุดท้ายเราต้องมาคิดกับตัวเองว่า แล้วเราล่ะ มีความสุขที่ได้เล่น ได้ลองอะไร ผมว่าอันนี้ควรเป็นคำตอบสุดท้ายหรือว่าสิ่งที่เรายึดโยง มันมากกว่าความรู้สึกของแฟนเพลง ซึ่งเราให้ค่านะ แต่สุดท้ายก็ต้องมาย้อนดูว่าแล้วเราล่ะให้ค่ากับอะไรในการร้อง การเล่นดนตรี ไม่งั้นจะกลายเป็นไม่ได้อะไร เพราะว่าล้านคอมเม้นท์เราทำตามไม่ได้หรอก สิ่งที่ดีที่สุดคือคอมเม้นท์ของ 5-6 คนในวง แล้วทำอย่างมีความสุข ภูมิใจตั้งแต่ทำเสร็จ ส่วนถ้าจะไปต่อยอด สร้างพลังงานให้คนอื่นได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี”

อ้อ,และถ้าจะถามว่าเรื่องรายได้ส่งผลอะไรไหม ตูนตอบทันทีว่าไม่

“การที่บางคราวเราเหนื่อย เราอ่อนล้า อยากหยุดพักไปทำอย่างอื่น ผมว่ามันเกิดกับทุกอาชีพนะ ผมฝันว่าอยากเป็นนักร้อง แต่พอความฝันกลายเป็นงานประจำ เราจะรับมืออย่างไร”

“การเป็นนักร้องคือสิ่งที่เราสนุกที่สุด ทำได้ดีที่สุดในชีวิตแล้ว ถ้าเรามีปัญหากับมัน เราท้อ อยากเลิก ถ้าเลิกไปจริงๆแล้วสิ่งที่เราทำได้ดีเป็นอันดับรองลงมา เราจะทนกับมันได้หรือ คือทุกอย่างมีปัญหาอยู่แล้ว แต่คิดว่าจงอยู่กับสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด แล้วมีความสุขที่สุด”

เหมือนอย่างที่เขายังสนุกและมีความสุขที่สุดกับการทำงาน จนเกิดเป็นอัลบั้ม ‘วิชาตัวเบา’ ขึ้นมา

อัลบั้มที่ถ้าจะให้คำจำกัดความสั้นๆสักคำ ปิ๊ดก็ตอบทันที “ซื้อครับ”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image