คิ้วท์บอยคนล่าสุด ‘อิน สาริน’-พ่อเพิ่ม จากทองเอกฯ ที่มีอะไรให้ชมมากกว่าความหวานละมุน

เนื่องจากไม่คาดหวังมาก่อนว่าบท ‘พ่อเพิ่ม’ ใน ทองเอก หมอยาท่าโฉลง จะโด่งดังและเป็นที่พูดถึงขนาดนี้ จึงทำให้ อิน สาริน รณเกียรติ รู้สึกปลื้มและดีใจสุดๆ และด้วยความที่ทุ่มเทและตั้งใจกับการทำงานครั้งนี้อย่างสุดความสามารถ

“เวลาที่ได้บทละคร จะพยายามตีความให้ตัวละครมันกลมมากที่สุด”

พ่อเพิ่มในละครสามารถร่ายรำและร้อยมาลัยสวยงาม ตนก็ตั้งใจฝึกให้ดี

“มาลัยที่หัดร้อยนี่มาร้อยกันในกองเลย พี่ชุ(ชุดาภา จันทเขตต์ ผู้กำกับการแสดง)สอน มาลัยที่เห็นนี่คือร้อยจริงๆ”

Advertisement

เมื่อพูดถึงกระแสที่ดีเมื่อไรเขาก็ปลื้มใจทุกครั้ง นั้นเพราะเขาชอบการผลงานเรื่องนี้ ภูมิใจว่าได้ถ่ายทอดตัวละครพ่อเพิ่ม ได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ณ เวลานั้น หากจะให้คะแนน อินก็บอกว่า

“ให้ 8 เต็ม 10 เลย”

ส่วนที่ได้ฉายา ท่าโฉลงคิวท์บอย นั้น เจ้าตัวบอกสั้นๆ ว่า “งงๆ เหมือนกัน” แต่กระนั้นก็รู้สึกว่า “น่ารักดีนะครับ”

Advertisement

ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีเพียงความหวานละมุน เพราะอิน สาริน บอกไว้ว่าหากจะได้ติดตามไปอีกสักหน่อย จะได้เห็นความเจ้าชู้ในแววตาที่แอบใส่ลงไปให้ตัวละครมีความกลมกล่อม 

“อยากให้ได้ดูพ่อเพิ่มจีบสาว”

“จีบด้วยการแต่งกลอน  เราจะพูดกันเป็นกลอนกับคนที่เราจีบ  หวานเลี่ยนมาก มันมีความกะล่อนนิดๆ ของผู้ชายอยู่เหมือนกันนะ”

ซึ่งตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ถ่ายทำ อินบอกว่าทุกอย่างดำเนินไปด้วยความรวดเร็วเพราะไม่มีการซ้อมก่อนแสดง ด้วยเพราะหากซ้อมก่อนจะทำให้ดูแข็งไม่ลื่นไหล 

“เราทำการบ้านมาแล้วเล่นจริงเลย  จะได้เห็นความสด และความคอมเมดี้มากในเรื่องนี้” -ถึงกับเล่นไปขำจนน้ำตาไหลไปก็มี

เพราะฉะนั้นทุกฉาก ทุกซีนที่ออกไปถูกใจผู้ชม นั้นเกิดขึ้นจากความสนิทสนมระหว่างตัวนักแสดง ที่มีความเป็นครอบครัวอยู่สูง ถึงแม้ว่าจะเพี้ยนๆ ไปหน่อยอย่างที่อินบอกก็ตาม

และแน่นอนว่า คนที่เขาเข้าฉากด้วยเยอะที่สุดคนหนึ่งก็คือ คิมเบอร์ลี แอน เทียมศิริ ที่รับบทเป็น ‘ชบา’ พี่สาวต่างแม่ในเรื่อง ซึ่งสนิทกันจน  อินแอบเมาธ์ว่าเป็นนางเอกที่น่ารัก เฟรนลี่ และ ‘หัวเราะเสียงดังมาก’

“เป็นนางเอกที่เสียงดังที่สุดเลย”

“ผมว่าผมหัวเราะใหญ่แล้วนะ เขาหัวเราะใหญ่กว่าผมอีก” ว่าแล้วก็หัวเราะแบบคิมเบอร์ลี่ให้ชม

ย้อนกลับไป 2 ปีที่แล้ว อิน สาริน เล่าให้มติชนฟังว่า เข้าสู่วงการบันเทิงจากการแคสต์หานักแสดงหน้าใหม่ละครเรื่อง ภูผา จากซีรีส์ลูกผู้ชาย ซึ่งขณะนั้นเขาใกล้จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  

เมื่อเดินทางมาเป็นนักแสดงเต็มตัว ความเข้าใจเดิมๆว่านักแสดงคือ ‘แค่แสดง’ ก็เปลี่ยนไป 

“การแสดงก็คือเรื่องจริงนั้นแหละ เวลาถ้าเราเล่นฉากรักกับใครสักคน ณ วินาทีนั้นก็ต้องรักเขาจริงๆ”  

“มันคือการที่เราเข้าถึงความจริงของตัวละครตัวนั้นให้ได้” 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่นักแสดงหน้าใสคิดตอนนั้นคือจะเล่นอย่างไรให้’จริง’ที่สุด “ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที”

ทั้งนี้เขาอยากทำให้ดีที่สุดเนื่องจากละครหนึ่งเรื่อง ทำงานท่ามกลางความคาดหวังของทีมงานและผู้ชมทางบ้าน

“เราก็อยากให้มันได้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของเราจะทำได้”

นอกเหนือจากการรู้จัก งานในกองถ่ายแล้ว การเข้ามาแสดงละคร ทำให้เขารู้จักคนมากขึ้น นั่นเพราะการเกิดและเติบโตที่กรุงเทพฯ ในพื้นที่ที่มีแต่คนรู้จักทำให้ในตอนนั้นโลกไม่กว้างเท่าที่ควร 

“เราจะเข้าใจและปรับตัวได้มากขึ้น” และได้ข้อคิดกลับมาใช้ในชีวิตประจำวัน หนึ่งในนั้นคือคนที่แสดงออกร้ายอาจไม่ร้ายเสมอไป “เขาก็มีเหตุผลของเขา มีความรู้สึกนึกคิดของเขา” 

จากนี้ อิน สาริน ตั้งใจว่าเขาจะทำตัวเหมือนเดิม แม้จะมีชื่อเสียงมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาอยากทำให้ดีขึ้นก็คือ การเป็นตัวอย่างที่ดีให้แฟนคลับ 

“วันนี้เรามาเป็นนักแสดง เราก็เป็นคนสาธารณะระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือเราจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคมอย่างไรได้บ้าง”

หากชื่นชมที่ผลงานและหน้าตาอินบอกว่าเขาก็ขอบคุณ แต่หากจะให้ดีที่สุดนั้นคือ การชื่นชอบในสิ่งที่เขาเป็นและเป็นแรงบันดาลใจที่ดี 

“ถ้าเราจะอยู่ตรงนี้แล้ว เราก็อยากให้อะไรกับคนอื่นบ้าง” นี่คือความตั้งใจและคาดหวังที่สุดของผู้ชายคนนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image