การสวมหมวกให้ถูกใบ ความท้าทาย และความตั้งใจ ของ สายป่าน อภิญญา

รสริน ล่าแวมไพร์ – Bangkok Vampire ซีรีส์แอ๊กชั่น-ไซไฟ เรื่องล่าสุด ทางช่องโมโน 29 ที่ออนแอร์ตอนแรกให้ได้ชมกันไปแล้วนั้น สายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข นักแสดงนำฝ่ายหญิง บอกกับ มติชนออนไลน์ ว่า “ตื่นเต้นสุดสุด”

ก่อนจะเล่ายาวให้เราฟังถึงบทบาทของ “รสริน” ที่เธอเป็นผู้แสดงว่า เรื่องราวเกิดขึ้นในประเทศไทยในยุคที่มีสงครามโดยรับเชื้อมาจากเวียดนาม และเกิดแพร่พันธุ์ นอกจากนั้นรสรินอดีตมนุษย์ผู้กลายเป็นแวมไพร์ต้องเจอกับหนึ่งภารกิจยากในการตามหาน้องสาว ซึ่งเรื่องราวในยุคปัจจุบันนั้นเกิดในกรุงเทพมหานคร 

“อันนี้คือความใหม่ที่เรามองว่ามันแปลก” 

เนื่องจากปกติหากพูดถึงแวมไพร์ใครก็ต่างนึกถึงเนื้อเรื่องที่เกิดจากฝั่งตะวันตกมากกว่าฝั่งตะวันออก 

Advertisement

“มีการใช้วัฒนธรรมในประเทศไทยเข้ามาเกี่ยวข้อง” 

นั่นคือการใช้สื่อและการแตกตื่นของประชากรไทย ผสมผสานความเป็นไทยจนกลมกล่อม

“ไอเดียแวมไพร์ฝรั่งแต่ว่ามีกลิ่นอายไทย” สายป่านว่า

Advertisement

แน่นอนว่าเมื่อมารับบทแวมไพร์ ก็ย่อมที่จะมีพลังเหนือมนุษย์ เพราะฉะนั้นเมื่อ “มนุษย์” ตัวเล็กๆ อย่างเธอมาแสดง แน่นอนว่าต้องเหนื่อยมาก

“แอ๊กชั่นเยอะที่สุดแล้วกว่าทุกคนในเรื่องเลย เจ็บตัวเยอะมาก” 

ก่อนชี้ชวนให้เราดูตามร่างกายว่าครั้งหนึ่งเนื้อตัวบริเวณต่างๆ เคยเขียวช้ำเพียงใด

“บางทีถูกรองเท้าบู๊ต เราก็ปูดเหมือนขึ้นชกเลย”

สายป่านหยุดยิ้มพร้อมเล่าต่อว่าความปวดระบมนั้นทำเอาเธอถึงขั้นไม่สามารถก้าวขา ขยับคอ เดินลงบันได แบบใครๆ ตามปกติได้เลย 

“เดินเป็นปู ระบมหมดเลยนะ เหมือนโดนซ้อม”

แต่เดี๋ยวก่อน เพราะก่อนจะภาคภูมิใจและบอกใครๆ ว่านี่คือผลงานที่ยิ่งกว่าการอาบเหงื่อต่างน้ำนั้น สายป่านยอมรับแบบขำๆ ว่าเคยมีคำถามว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่”

เมื่อเห็นทีมงานออกแบบท่าต่อสู้แต่ละช็อต เจ้าตัวถึงขั้นอุทานออกมาแบบที่เราต้องขอเซ็นเซอร์ไว้ก่อน พร้อมบอกต่อว่า “โคตรยาก ไม่ง่ายเลยนะ” 

แต่กระนั้นเมื่อทำได้ “มันเป็นการปลดล็อกเลย” 

ทั้งนี้ สายป่านยังเล่าถึงเทคนิคในการทำงานให้ออกมาประสบความสำเร็จว่า 3 คนที่ต้องพูดคุยแชร์กันคือ “ผู้กำกับ, โปรดิวเซอร์ และตากล้อง”

“ป่านแนะนำให้คุยกับ 3 คนนี้”

“การพูดคุยกับโปรดิวเซอร์และผู้กำกับ 2 คนนี้จะตอบเราได้ชัดเจนที่สุดว่าเราควรแสดงแค่ไหน รีแอ๊กยังไง แล้วการเจ็บมันต้องสอดรับกับกล้อง มันถึงจะเห็นว่าโมเมนต์นี้เป็นอย่างไร มันต้องคุยกัน ไม่ใช่ว่าเล่นแทบตาย เจ็บฉิบหาย แต่ว่ากล้องไม่ได้รับเลย” 

ก่อนจะบอกต่อว่าถ้าคิดว่าตัวเองเป็นนักแสดงแล้วมีอีโก้ ผลงานที่ออกมาจะด้อยค่ามาก

และที่สำคัญคือต้องรู้หน้าที่ของตัวเอง วันนี้เรามีหน้าที่อะไรเราต้องไม่ก้าวก่าย 

“เราต้องรู้ตัวตลอดว่าเราคือนักแสดง หน้าที่ของเราก็คือ การทำให้มันดีที่สุด ถ่ายทอดจากตัวหนังสือมาเป็นการแสดง แล้วก็ไม่ทำตัวรู้มาก”

ต่อให้เรียนนิเทศฯ ต่อให้เราเคยทำหนังในฐานะผู้กำกับหนังสั้น หรือเคยทำอะไรมาก็แล้วแต่ แต่ถ้าวันนี้ทำหน้าที่นักแสดง ก็ต้องฟังผู้กำกับ

สวมหมวกให้ถูกใบและทำให้ถูก” นี่คือสิ่งที่เธอคิดและปฏิบัติมาตลอด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image