“พลังความรู้เปลี่ยนคนได้”หลังอัยการสั่งลงโทษวัยรุ่นจอมเหยียดด้วย”การอ่าน”

ยังจำข่าวที่ศาลแห่งรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา สั่งลงโทษวัยรุ่น 5 คน ที่พ่นกราฟฟิตี้ลงบนกำแพงอาคารเรียนเก่าแก่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับคนผิวสีในประเทศอเมริกา เพราะเป็นโรงเรียนที่เปิดเพื่อให้การศึกษาแก่เด็กๆ ผิวสีในช่วงปี 1892 ซึ่งเป็นช่วงที่อเมริกามีปัญหาเรื่องการแบ่งแยกสีผิวอย่างรุนแรง ก่อนที่สงครามกลางเมืองของอเมริกาจะเกิดขึ้น โดยกราฟฟิตี้ที่พวกเขาพ่นบนกำแพงนั้นนอกจากจะเป็นภาพไดโนเสาร์ อวัยวะเพศแล้ว ยังมีถ้อยคำและภาพที่เหยียดสีผิว เหยียดเชื้อชาติด้วย เพราะนอกจากจะมีรูปเครื่องหมายสวัสดิกะของนาซีแล้ว ยังมีข้อความอย่าง อำนาจของคนผิวขาว (White Power) อีกด้วย

ตอนนั้นอัยการประจำรัฐที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว Alex Rueda ซึ่งเป็นลูกสาวของบรรณารักษ์ด้วย เห็นว่าเด็กๆ พวกนี้จริงๆ แล้วไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอก แค่ไม่มีความรู้เฉยๆ เพราะฉะนั้นไปอ่านหนังสือ ดูหนัง ไปพิพิธภัณฑ์หาความรู้ให้ตัวเองซะ จะได้เข้าใจถึงประวัติศาสตร์และความหลากหลายบนโลกใบนี้ ซึ่งศาลก็เห็นด้วย เลยตัดสินให้เด็กๆ ทำตามนั้น

นอกจากจะให้ไปที่ Holocaust museum, American history museum ดูหนัง 12 Years a Slave และ Lincolnแล้ว Alex Rueda ยังเลือกหนังสือมา 35 เล่มให้เด็กเลือกอ่านเดือนละเล่มรวม 12 เล่ม ทำการบ้าน 12 ชิ้น ว่าด้วยบริบทและสัญญะต่างๆ ในหนังสือ รวมถึงต้องเขียนรายงาน 1 ฉบับ ที่มีความยาว 3,500 คำ เกี่ยวกับการเหยียดผิวและสัญลักษณ์ต่างๆ ที่พวกเขาพ่นไว้บนอาคาร

เวลาผ่านไป 2 ปี ผลลัพธ์ที่ออกมาในวันนี้ สามารถพิสูจน์ได้ถึงอำนาจของความรู้ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติของมนุษย์ได้โดยสิ้นเชิง

Advertisement

www.bbc.com มีรายงานข่าวล่าสุดว่า เด็กทุกคนไม่มีใครทำผิดซ้ำอีก เด็กๆ กลับไปเรียนหนังสือต่อ และส่งการบ้านส่งรายงานสม่ำเสมอ ซึ่งข้อเขียนเหล่านี้นี่ล่ะ ที่เป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงพลังที่เปลี่ยนคนได้

ในรายงานของเด็กคนหนึ่ง ที่ได้รับการยินยอมให้เผยแพร่เขียนว่า

Advertisement

“ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการเขียนรายงานนี้ ผมได้รู้ว่าสิ่งต่างๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อผู้คน ผมไม่เคยรู้เลยว่าด้านที่มืดมิดของมนุษย์ในประวัติศาสตร์เป็นอย่างไร ผมจำได้ว่าเคยนั่งเรียนประวัติศาสตร์พวกนี้อยู่สองวันในชั้นเรียน ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเรียนเรื่องอื่นต่อ ผมไม่เคยมองลึกลงไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะไม่อยากที่จะรับรู้ถึงความน่ากลัวของมัน

ผมเคยคิดว่าสวัสดิกะเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ และก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก แต่ไม่อีกแล้ว ผมเข้าใจผิดมันมีความหมายมากมายสำหรับคนที่ได้รับผลกระทบ มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน ความเจ็บปวดจากการถูกทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่สำคัญคือเตือนให้เราได้รู้ว่า มนุษย์น่าชิงชังได้ถึงขนาดไหน โลกโหดร้ายและไร้ความยุติธรรมได้ถึงเพียงใด สวัสดิกะเตือนใจเราให้นึกถึงการกดขี่ข่มเหง การไม่ถูกรับฟัง และถูกกดให้ต่ำจนจมดิน สวัสดิกะยังเป็นเครื่องหมายของพลังอำนาจของผิวขาว ที่มองว่าเผ่าพันธุ์ของตนเหนือกว่าคนอื่น ซึ่งนั่นไม่ใช่ความจริงเลย

ทุกคนไม่ควรจะรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย และไม่ควรมีใครมาทำให้รู้สึกเช่นนั้นด้วย ผมรู้สึกแย่มากระหว่างที่ผมเขียนรายงานฉบับนี้ เพราะผมเคยทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหน นับถือศาสนาใด หรือมีรสนิยมทางเพศอย่างไร ผมจะพยายามไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้อีก”

เป็นพลังแห่งความรู้ที่เปลี่ยนคนได้จริงๆ

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image