เดอะ เดนนิช เกิร์ล (The Danish Girl) เรื่องจริงในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1962 และกลายมาเป็นนวนิยายชื่อ The Danish Girl ในปี 2000 โดย เดวิด อีเบอร์สฮอฟ ก่อนถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับรางวัลออสการ์ ทอม ฮูเปอร์
หนังเล่าเรื่องของ “ไอนาร์ เวเกเนอร์ และ เกอร์ดา เวเกเนอร์” คู่รักศิลปินชาวเดนมาร์กที่แต่งงานและอยู่กินด้วยกันมานานหลายปี แม้ทั้งคู่ยังไม่มีลูกด้วยกันแต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ดี จนกระทั่งเกอร์ดาชักชวนสามีของเธอให้สวมเสื้อผ้าผู้หญิงโดยเรียกเธอว่า “ลิลี่” และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของทั้งคู่ เมื่อไอนาร์พบว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการเป็นลิลี่โดยสมบูรณ์
จุดสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลกสนใจหนังเรื่องนี้ก็คือ การบอกเล่าเรื่องราวของชายผู้ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศโดยสมบูรณ์รายแรกของโลก ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักแสดงคุณภาพอย่าง เอ็ดดี้ เรดเมย์น เจ้าของรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเมื่อปี 2014 ซึ่งแน่นอนว่า เอ็ดดี้ ทำได้อย่างไร้ที่ติ
เขาบอกให้ทั้งโลกรู้ว่า กว่าไอนาร์จะกลายเป็นลิลี่ได้นั้น เธอต้องผ่านทั้งความสับสน ความกดดัน โดนดูถูกและตราหน้าด้วยคำว่า “ผิดปกติ” มากมายขนาดไหน
ด้วยสภาพสังคมที่ยังไม่เปิดรับ และวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ยังไม่พัฒนาเท่าทุกวันนี้ การเป็นลิลี่จึงยากเย็นและทรมานยิ่งนัก
แต่ระหว่างที่ดูหนังเรื่องนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่เด่นชัดขึ้นมาจนเราต้องเสียน้ำตาให้ คือความรักที่แสนประเสริฐจาก “เกอร์ด้า” คู่ชีวิตของไอนาร์ ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่เธอรักมีความสุข
ลองคิดดูว่า หากคนที่คุณรักเดินมาบอกกับคุณว่า เขาไม่สามารถทำหน้าที่สามีให้คุณได้อีกต่อไปเพราะเขาต้องการเป็นผู้หญิง คุณจะทำอย่างไร?
หากคิดว่า ไอนาร์ ต้องทรมานมากแล้วจากการตัดสินของสังคม แต่ เกอร์ด้า บอบช้ำยิ่งกว่าจากการตัดสินใจของสามี
กระนั้นแล้วเธอก็ไม่ทิ้งเขาไปไหน กลับกัน เธอยอมรับในสิ่งเขาเป็น ปล่อยให้ไอนาร์ได้ทำตามใจต้องการ และยืนเคียงข้างเสมอ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ ไอนาร์ คนเดิมอีกต่อไป
เมื่อหนังจบลง เราจึงเต็มใจที่จะปรบมือให้ ไม่ใช่ชื่นชมเพียงการแสดงของ อลิเซีย วิกันเตอร์ ที่สวมบทเกอร์ด้าได้อย่างน่าสงสาร ไม่ใช่ชื่นชมเพียงความเข้มแข็งของลิลี่ในการต่อสู้เพื่อตัวเอง ไม่ใช่ชื่นชมเพียงบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น
แต่เพราะ เราชื่นชมในความหาญกล้าของผู้หญิงคนหนึ่ง และความรักที่ยิ่งใหญ่ของเธอ
———-
น้ำแข็งเปล่า
