เชื่อครึ่ง-ไม่เชื่อครึ่ง เรื่องของคำชม และความในใจ ‘ต้องพัฒนา’ ของญาญ่า

สำหรับ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ แล้ว ‘กลิ่นกาสะลอง’ คือละครที่ยากที่สุดในชีวิตการแสดง เพราะไม่ใช่แค่เพียงต้องรับบทเป็น 3 ตัวละครเท่านั้น หากแต่แต่ละตัวที่ว่ายัง ‘แตกต่าง’ กันสุดขั้ว

ด้วยในขณะ ‘กาละสอง’ เป็นคนดี ที่วันๆไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากทำให้คนรอบตัวมีความสุข, ‘ซ้องปีบ’ ที่ต้องได้ทุกอย่างตามต้องการ และ ‘พิมพ์พิศา’ ผู้เหมือนกับว่าชีวิตจะมีครบทุกสิ่ง แต่อันที่จริงมักต้องพรากจากสิ่งที่รัก

หากกระนั้นก็ถือเป็นงานทำที่แล้วสนุกที่สุด-เจ้าตัวบอก

“เพราะได้ทำหลายอย่าง ไม่มีวันไหนในเซ็ทที่น่าเบื่อ ไม่มีฉากไหนที่เล่นแล้วรู้สึกว่าก็ผ่านๆไปได้”

Advertisement

“มันมีอะไรในทุกฉาก”

สำหรับตัวละครทั้ง 3 ญาญ่าบอกวาไม่ได้รู้สึกชอบ หรือไม่ชอบตัวละครตัวไหนเป็นพิเศษ เพราะ “ทุกตัวมีเสน่ห์ของเขาที่แตกต่างออกไป”

กาสะลอง , พิมพ์พิศา , ซ้องปีบ

แต่โดยส่วนตัว “ที่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับตัวละคร เห็นค้านกับตัวละครมากที่สุด คือตัวพิมพ์พิศา เขาเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอในอารมณ์ของตัวเอง ไม่ได้แก้ปัญหา แค่ร้องไห้ หรือไม่ก็วี๊ด”

Advertisement

ซึ่งอะไรแบบนี้ เป็นสิ่งที่ญาญ่าไม่ชอบ

สำหรับการมาเล่นบทร้าย ญาญ่าว่าเป็นสิ่งที่สนุกดี เป็นอีกอรรถรสซึ่งไม่เคยทำ

“แต่ถามว่าเล่นถึงไหม ไม่รู้ ต้องไปดูอีกที” บอกแล้วก็ยิ้ม

อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งซึ่งรู้แน่ คือการเล่นบทร้ายๆแบบนี้เหนื่อยกว่าการเล่นบทคนดีแน่นอน

“เพราะพลังในคาแรคเตอร์มันสูงค่ะ ถ้าวัดจากปรอท ช้องปีบก็ร้อนกว่ามากๆ”

เล่นๆไปบางฉากจึงเกือบแย่ อย่างฉากที่อาละวาดในห้อง ร้องกรี๊ดๆ ที่หลายคนคงได้เห็นผ่านคลิปที่มีการนำเสนอออกมา โดยโจทย์ที่เธอได้จากผู้กำกับ สันต์ ศรีแก้วหล่อ คือต้องการให้มีการแสดงออกมากๆ

“กรี๊ดจนชัก” คือโจทย์ที่เธอได้

นั่นจึงเป็นที่มาของการกรี๊ดยาว 5 นาที ที่ญาญ่าใช้คำว่า “ไม่ได้หยุดหายใจ อาละวาดเตะโน่น เตะนี่”

เหนื่อยแค่นั้นยังไม่พอ เพราะระหว่างถ่ายยังเกิดอุบัติเหตุไม้ขึงผ้าม่าน อุปกรณ์ประกอบฉากหลุดมากระแทกหน้าผาก ซึ่งญาญ่าบอกตอนที่โดนไม่ได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ด้วยมัวอินกับบท ดังนั้น “ตัวเราจึงไม่ได้อยู่กับร่างเลย ทุกอย่างอยู่ที่อารมณ์พาไป”

ดังนั้นในคลิปที่เห็นเธอร้องไห้ แล้วหลายคนคิดว่าร้องเพราะเจ็บหัว จึงไม่ใช่

“จริงๆคือหายใจไม่ทัน มันเหมือนจะตาย หายใจไม่ออก”

อาการแบบนี้นักแสดงหลายคนก็เคยเป็น ดังนั้นพอเห็นเธออยู่ในอาการนี้ รุ่นใหญ่ซึ่งเคยมีประสบการณ์มาก่อน อย่าง เพ็ญพักตร์ ศิริกุล , มนตรี เจนอักษร จึงรีบเข้ามาปลอบว่า บอกโอเค หายใจ…หายใจ

ครั้นถามไปว่า เมื่อเป็นถึงขนาดนี้ ต่อไปคงไม่รับบทร้ายๆอีกใช่ไหม?

แต่คำตอบที่มาพร้อมอาการส่ายหน้า กลับเป็นว่า “โอเพ่น สำหรับทุกอย่างค่ะ”

“ญ่าอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากขึ้น เพราะรู้สึกว่าตัวเองจะไม่มีทางเติบโตได้ในหน้าที่การงานถ้าเล่นแต่ที่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นอะไรที่มาแบบท้าทาย อะไรที่รู้สึกว่า โอ! เยส จะอยากทำ”

นักแสดงคนดังยังบอกอีกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะรู้สึกเหมือนกับว่ายิ่งทำงาน ไฟยิ่งเพิ่ม

“ยิ่งได้เล่นบทบาทที่เกินตัวแบบนี้ ยิ่งรู้สึกว่าท้าทาย”

“อย่างเรื่องนี้นอกจากได้ประสบการณ์ ได้เล่นร้าย เล่นดี เล่นเป็นผีแล้ว ยังเหมือนเราได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ และนี่คือการพัฒนาของการเป็นนักแสดง ถ้าเราได้เล่นหลายๆคน หลายๆแบบ เราก็จะเข้าใจสิ่งที่เราพยายามจะให้คนได้เห็น นั่นคือความเป็นมนุษย์”

“เพราะฉะนั้นสำหรับบทแตกต่างออกไป ก็อยากเล่นทุกอย่าง”

ญาญ่ายังบอกด้วยว่า ถ้าเทียบกับซ้องปีบที่ต้องการให้คนชมตลอดเวลา ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยตลอดตั้งแต่หัวจรดเท้า ตัวเธอเองไม่เคยอยากได้คำชมเหล่านั้น

“อยากให้พูดมากกว่าว่าทำงานดี”

“อาจเพราะโดนปลูกฝังมาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่า เรารับผิดชอบอะไร ก็ต้องทำให้เต็มที่ ตั้งแต่เรียนเลยค่ะ พ่อกับแม่จะบอกว่ายูต้องซื่อสัตย์กับสิ่งที่ยูรับผิดชอบนะ เพราะฉะนั้นเลยจะเรียนดีตลอด และพยายามทำงานให้ดีตลอด”

“นี่คือสิ่งที่อยากได้ยินมากที่สุด”

อย่างไรก็ดี ต่อให้อยากได้ยินมากขนาดไหน เธอก็คงทำใจเชื่อได้แค่ครึ่งเดียว

“มันเป็นความไม่มั่นใจอย่างหนึ่ง ที่เวลาคนชมก็จะเชื่อแค่ครึ่งๆ” ญาญ่าสารภาพ

ดูไม่ออกเลยนะนี่-คือสิ่งที่เราบอกไป ก่อนญาญ่าจะยืนยันกลับ “ดูเหมือนมั่นใจใช่ไหมคะ แต่มีความไม่มั่นใจสูงมาก” ว่าพลางก็หัวเราะ

“คือไม่ได้รู้สึกว่าสวยขนาดนั้น หรือเก่งขนาดนั้น”

เหตุผลเป็นเพราะอะไร ญาญ่าบอกเลย “หนูไม่รู้”

“แต่ถ้าเราคิดบวก มันคือความที่เราอยากให้มันดีมาก อยากให้แตะคำว่าเพอร์เฟ็คต์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็เลยเหมือนกดดันตัวเองด้วย ไม่มั่นใจขนาดนั้นด้วย”

เชื่อแค่ครึ่งเดียวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

และเป็นจุดที่ทำให้รู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด.

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image