‘เก้า จิรายุ’ เผยโดนผจก.ส่วนตัวหลอกเอาเงินไปเป็นหลักล้าน เสี้ยมให้มีปัญหากับ ‘แม่’

วันที่ 31 พฤษภาคม เวลา 16.00 น. ที่ Bob Eye View Studio ทาวน์อินทาวน์ เก้า – จิรายุ ละอองมณี พร้อมคุณแม่วรนุช ละอองมณี และว่าที่ร้อยตรีมงคลวิจิตร์ ธนะโสภณ ทนายความ ได้แถลงข่าวกล่าวหาอดีตผู้จัดการ ชื่อ กี้ หลอกเอาเงินจำนวน 7 หลักไป โดยเก้ากล่าวว่า รู้จักกับกี้มานาน 3 ปี เนื่องจากอีกฝ่ายมาจ้างไปออกอีเว้นท์ให้ 2-3 ครั้ง โดยตอนแรกอีกฝ่ายสนิทสนมกับคุณแม่ก่อนจะชวนให้ทำธุรกิจร่วมกัน

โดยคุณแม่กล่าวว่า ช่วงนั้นเก้ากำลังเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งตนคิดว่าลูกชายทำงานมานานแล้ว ถ้ามีธุรกิจมารองรับน่าจะทำให้วางแผนชีวิตได้มากขึ้นจึงตัดสินใจทำธุรกิจร่วมกับอีกฝ่าย ทำได้สักระยะอีกฝ่ายบอกว่าอีกธุรกิจหนึ่งมีปัญหาเพราะโดนโกง แต่ไม่ใช่ธุรกิจที่ทำร่วมกับตน แต่ต้องนำสมุดบัญชีบริษัทที่ทำร่วมกันไปตรวจสอบเพราะมีชื่อกี้อยู่ในนั้นด้วย ระหว่างนั้นตนก็ถามว่าเมื่อไหร่จะได้คืน กี้บอกว่าเดี๋ยวขึ้นศาลแล้วจะได้ อย่างไรก็ตามช่วงนั้นมีข่าวว่าตนมีปัญหา กี้จึงเข้ามาบอกว่าจะช่วยดูแลเก้าให้ เพราะถ้าตนดูแลต่อไปจะยิ่งมีปัญหาเรื่อยๆ จะทำให้เก้าไม่มีงาน แต่กี้รู้จักนักข่าวเป็นอย่างดี โดยที่ทำไม่ได้หวังผลตอบแทนเพราะมีเงินมากอยู่แล้ว ตนก็ไว้ใจ ส่วนเรื่องการรับเงินตอนอีกฝ่ายดูแลเก้าก็ค่อนข้างจะชัดเจน เพราะเก้าจะรับผ่านบริษัทชื่อ ‘เก้าจิรา’ มาตลอด 6 ปี

คุณแม่วรนุช กล่าวด้วยว่า เงินที่สูญเสียไปส่วนแรกเป็นการลงทุนธุรกิจ และเงินอีกส่วนคือค่ารักษาที่อีกฝ่ายอ้างว่าเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) โดยเขามักจะห้ามตนบอกคนอื่น ห้ามบอกเก้ากลัวว่าเก้าจะเป็นห่วง และบอกว่าจะไม่รักษาแล้ว เพราะหาเงินได้เป็นล้านก็ต้องหมดกับการรักษา  ทางตนจึงเสนอจ่ายให้ก่อนไปเป็นจำนวนเงินเดือนละหลายแสนบาท รวมแล้วก็เป็นเงินกว่า 7 หลัก นอกจากนี้ยังมีเงินที่ใช้จัดการวงดนตรีของเก้าที่เบิกไป 1.5 ล้าน แต่ใช้จริงแค่แสนกว่าบาท อย่างไรก็ตามกระทั่งมาเอะใจเมื่อต้นปีที่ทวงถามถึงสมุดบัญชีเอกสารต่างๆ คืน อีกฝ่ายบอกว่าต้องรออีกนาน ระหว่างนั้นก็มีผู้ใหญ่ในวงการเตือน

“ที่บอกว่าผู้ใหญ่บอก เราก็เริ่มตรวจสอบ ตอนแรกไม่ได้ตรวจสอบด้วยตัวเอง เพราะยังกลัวอยู่ว่า ถ้าตรวจสอบแล้วมันไม่จริง มันจะกลายเป็นเราไม่ไว้ใจ จะทำงานกันไม่ได้ แต่ผู้ใหญ่กับญาติก็เอาหลักฐานมาให้ ครั้งแรกเราไม่เชื่อ แต่สุดท้ายเราก็เชื่อ แล้วอีกอย่างหลักฐานทุกอย่าง มันคนละเรื่อง ที่เขาบอกเรา ที่เขาบอกเราคือหน้า ที่เรารู้มาคือหลัง ถามว่าเราจะไม่เชื่อได้ไหม มันไม่ได้เพราะมันประกอบด้วยหลักฐานที่ชัดเจน มีคดี ทั้งอาญาและแพ่ง มีแบล็คลิสต์” คุณแม่กล่าว และว่าหลังจากรู้เรื่องก็พาเก้าไปคุยกับผู้ใหญ่จนทราบเรื่องที่เกิดขึ้นพอตนกับเก้าหันหน้ามาคุยกัน รู้ตัวอีกทีกี้ก็ไปแล้ว

Advertisement

เก้า จิรายุ กับคุณแม่

ขณะที่เก้ากล่าวว่า จริงๆ แล้วกี้มีอะไรให้เอะใจบ้าง เช่น อ้างว่าแม่มาปรึกษาเรื่องส่วนตัวที่ห้ามบอกตน ตอนนั้นรู้ว่าหลายเรื่องน่าจะไม่เป็นความจริง หลังจากเคลียร์กับแม่แล้วมารู้ทีหลังเขาก็พูดกับแม่อย่างที่พูดกับตน ทำให้ตนกับไม่ได้พูดคุยกัน ดังนั้นจึงรู้สึกแย่ที่อยู่บ้านเดียวกับแม่มาตลอดแต่ไม่คุยกันเพราะคนอื่นพูดกรอกหู

“รู้สึกว่าช่วงหลังๆ สิ่งที่ผมรู้สึกอย่างเดียวเลยคือ ผมมีปัญหากับแม่ ทำให้เราไม่คุยกับแม่เลย เพราะเรื่องที่เขาเอามาพูดกับเรา สุดท้ายแล้วพอผมยังไม่รับรู้เรื่องราวทั้งหมด ผมก็ยังไม่ได้เชื่อแบบ ไม่ได้คิดว่าเขาไม่ดี ยังคิดว่าเขาโอเค จนมีผู้ใหญ่หลายๆท่านเริ่มมาคุยกับเรา พอทุกอย่างกระจ่าง เราก็โอเคต้องเชื่อแล้วหละ เพราะมีเรื่องอะไรหลายๆอย่างมาเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องเชื่อ” เก้ากล่าว

Advertisement

ด้านคุณแม่กล่าวว่า  หลังรู้ความจริงก็ได้ปรึกษาทนาย เพราะมีหลายอย่างผุดขึ้นมา เช่น มีการปรับลายเซ็นบริษัท ทางทนายจึงให้ไปลงบันทึกประจำวัน แต่สิ่งที่ทำวันนี้คืออยากให้ทุกคนรับรู้ ขณะที่เก้าบอกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาจะแนะนำว่า กี้ คือพี่สาวตลอด และเขายังเปลี่ยนชื่อให้เข้ากันเพราะบอกว่าจะทำงานง่ายขึ้น มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งอยากให้เข้าใจว่าตอนนี้เขาพันจากสภาพเป็นผู้จัดการแล้ว ถ้ามีอะไรติดต่อกันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนและเด็ดขาด

ขณะที่ทนายกล่าวว่า “ตอนนี้อยู่ในช่วงรวบรวมหลักฐาน ว่ามีส่วนไหนเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง หรือเกี่ยวข้องโดยอ้อมๆ ทั้งที่คุณแม่และน้องไม่ทราบเลยก็มีด้วย เรารวบหลักฐานบางส่วนด้วย ซึ่งจริงแล้วผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทำคนเดียว มีอีกหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เบื้องต้นอยากฝากสื่อเลยว่าทรัพย์สินต่างๆ ที่เขาขนเข้ามาอยู่ในออฟฟิต เพื่อเป็นการปกป้องทั้ง 2 ท่าน ผมเลยให้ทั้ง 2 ท่านลงบันทึกประจำวัน ยังมีทรัพย์สิน ของมีค่าและไม่มีค่า ก็ฝากให้เขารีบมาเอาออกไปซะ ทั้งหมดนี้เกิดจากการไว้เนื้อเชื่อใจ และอ้างว่าเพื่อดูแลน้องเก้า เลยขอเข้ามาพักเลย เขาจะสนิทสนมกับน้องเก้าเป็นพิเศษ ดูแลทั้งเรื่องอาหารการกินและเรื่องดนตรีหมดเลย ของเขานี่อยากให้มาเอาไปซะ สองคือเป็นการตัดขาดอย่างชัดเจนเลยว่า เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรอีก”

ส่วนคุณแม่กล่าวถึงบทเรียนในครั้งนี้ว่า “คำเดียวเลย คำว่าไว้ใจ เรารู้สึกมาตลอดว่า เวลาเราทำอะไรมาตลอด เราจะโดนคำว่าเราไม่ไว้ใจ เก้ายังเคยบอกว่าถ้าไม่ใจ จะทำงานกับคนอื่นได้อย่างไร วันนี้รู้เลยว่าไว้ใจต้องตรวจสอบ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเหมือนบทเรียน มันเกิดขึ้นแล้วเรียนรู้อะไรหลายอย่าง พอมันเคลียร์ทุกอย่างเข้าใจหมดแล้ว ผมก็รู้ว่าแม่เขาหวังดี ทำสิ่งดีๆเพื่อผม ผมกับแม่เข้าใจกัน อย่างน้อยมันไม่ได้เสียไปทั้งหมด ได้บทเรียนมา ผมอยากฝากคนอีกหลายๆคน ไม่รู้ว่าจะได้เจอเรื่องแบบนี้อีกหรือเปล่า อยากให้ระวัง การไว้ใจ อยากฝากเป็นบทเรียน”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image